บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

!!!เจาะน้ำมันในกรุงเทพ ชาวกรุงเทพทั้งหมดมีสิทธ์เสี่ยงตาย!!!


ดร.รักไทย บูรพ์ภาค : รองผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านพลังงานมหาวิทยาลัย MIT สหรัฐอเมริกา และ อดีตที่ปรึกษาประจำสำนักงานใหญ่ธนาคารโลกด้านนโยบายพลังงาน/สิ่งแวดล้อม

เป็น ประเด็นใหญ่กันเลยนะครับ สำหรับข่าวการอนุญาติให้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในกรุงเทพมหานคร ของบริษัท มิตรา เอ็นเนอร์ยี่ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่ผมทำงานด้านพลังงาน และมีประสบกาณ์ ด้านขุดเจาะน้ำมันมาบ้างจึงอยากขอโอกาสมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ อย่างแรกเลยต้องขอขอบคุณ ท่าน สว คำนูณ สิทธิสมาน ที่มาเปิดเผยเรื่องนี้ด้วยครับ


ประเด็น แรก น้ำมันในกรุงเทพ มีไหม ขอตอบว่า มีความเป็นไปได้ครับเพราะเมืองกรุงเทพ เราอยู่ใกล้ปากอ่าว ซึ่งมีความเป็นไปได้อยู่แล้วครับ ขออนุญาติยกตัวอย่างกรณีเดียวกับ เมือง ฮิวส์ตัน มณรัฐเท็กซัส ซึ่งใกล้ปากอ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการทับถมสะสม ซึ่งก็มีแหล่งน้ำมัน  ฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่กรุงเทพจะมีน้ำมัน หรือ แก็สครับ


ประเด็น ที่สอง แล้วถ้าจะมีการขุดเจาะสำรวจหรือ นำน้ำมันขึ้นมาใช้ ทำได้หรือไม่ ขอตอบว่า ไม่ได้ครับ ผิดหลักด้วยประการทั้งปวง ถ้ามีการ­ขุดเจาะน้ำมันใกล้แหล่งชุมชนครับ โดยเฉพาะ ในกรณีที่มีแหล่งชุมชนอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง เช่น ที่ เมือง ฮิวส์ตัน หรือ ที่เมืองนิวยอร์คก็มีแหล่งน้ำมันครับ แต่ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาห้ามขุดเจาะในสองเมืองนี้  ที่ขุดไม่ได้ เพราะการขุดเจาะมีการใช้สารเคมีระหว่างกระบวนการขุดนะสิครับ ไหนจะมีการใช้สารเคมีเหลวในการเจาะระหว่างการเจาะ  เช่น กระบวนการหล่อซีเมนต์ (Cementing process) หรือ ไฮดรอลิก แฟลกเจอริ่ง (Hydraulic fracturing)  ก็อาจจะมีการเจือปนสารเคมีกับระบบน้ำประปา น้ำใต้บาดาล  หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น น้ำใต้บาดาลที่โดนสารเคมีนี้อาจจะไปส่งผลกระทบถึงอ่าวไทย ซึ่งไม่ไกลจากแหล่งขุดเจาะ  ถ้า เขียนแล้วไม่อธิบายผู้อ่านจะสับสน อ่าวแล้วทำไมอ่าวไทยเจาะได้ นั้นก็เพราะว่า เจาะนอกฝั่งกับเจาะบนบกใช้กระบวนการต่างกันครับ แม้ว่าจะใกล้เคียงกันก็ตาม ซึ่งถ้าเจาะบนบกตามกฏสากลและ ตามจรรยาบรรณวิศวกรแล้วเค้าจะไม่เจาะใกล้แหล่งชุมชนครับ เป็นที่ฟ้องร้องกันหลายคดี และผลลัพธ์ส่วนใหญ่บริษัทที่เจาะจะถูกปรับมหาศาล และคนที่อนุญาติก็จะมีความผิดด้วยนะครับ ผมขออนุญาติแนบคลิปวิดิโอสั้นๆ ซึ่งเป็นของหนังสารคดีที่ได้รับรางวัลของสหรัฐอเมริกาปี 2553 เพื่อ ชี้ให้ดูผลกระทบของการเจาะใกล้เมือง ซึ่งชี้ถึงอันตรายจากการขุดเจาะน้ำมันใกล้แหล่งชุมชน ดูคลิปเสร็จแล้วถ้ายังมีการขุดเจาะน้ำมันในกรุงเทพ จะมีใครกล้าใช้น้ำก็อก หรือ ดื่มน้ำกรองกันอีกไหมครับ ชาวกรุงเทพครับ ช่วยกระจายข้อมูลกันด้วยครับ เพื่อปกป้องคนที่ท่านรัก


http://www.youtube.com/watch?v=dZe1AeH0Qz8

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กมธ.พลังงาน สอบคดีบริษัท “ณัฐวุฒิ” ขัดพ.ร.บ.ฮั้ว

ข่าวสด

วันที่ 22 ก.พ. ที่ห้อง 3401 อาคารรัฐสภา3 ในการประชุมคณะกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน โดยในวันนี้มีสาระการประชุม พิจารณาหนังสือร้องเรียนของ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องให้สอบข้อเท็จจริง ซึ่งบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) ว่าจ้างบริษัทไทย คอนซัคแตนท์พับพลิค รีเลชั่น จำกัด เป็นที่ปรึกษามวลชนสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซ ซึ่งกมธ.ได้เชิญ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไทย คอนซัคแตนท์พับพลิค รีเลชั่น จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยมีนายจิร จบหิมเวศน์ ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนโครงการหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ,กรรมการผู้จัดการบริษัทไทย คอนซัคแตนท์พับพลิค รีเลชั่น จำกัด กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอคทีพ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งนี้ ตัวแทนจาก 3 บริษัทไม่ได้เข้าชี้แจง แต่ส่งหนังสือชี้แจงร้องเรียนมาแทน ซึ่งเห็นตรงกันว่าควรให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชี้แจงแทน

สำหรับนายณัฐวุฒิ ประสานงานมายังกมธ.ว่ายังติดภารกิจจึงไม่ได้เข้าชี้แจงเช่นกัน

นายไพโรจน์ ตันบรรจง ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ เห็นว่าเรื่องนี้ควรที่จะมีการยื่นเรื่องให้กับคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบ หรือควรยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยตรงจะมีความเหมาะสมกว่า เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องโดยตรง

ทั้งนี้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่าเรื่องดังกล่าว ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับคณะกรรมาธิการพลังงาน เช่นกัน ซึ่งควรมีส่วนตรวจสอบและทำความจริงให้ปรากฎชัดเจน เพราะยังมีประเด็นที่น่าสงสัยว่า ทำไมผู้ร้องระบุว่ามี 17 โครงการที่ไม่โปร่งใส และเหตุใดบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) จึงเน้นใช้วิธีว่าจ้างแบบวิธีพิเศษมากกว่าการจ้างแบบประมูล และนำเกณฑ์ใดมาเป็นตัวกำหนดราคากลาง เนื่องวจากถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ อาจเกี่ยวข้องกับพรบ.ฮั้วฯ ได้

ด้านนางมัลลิกา กล่าวว่าจากการที่ ปตท. ได้ว่าจ้างให้บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ ซึ่งเป้นบริษัทที่มีนายณัฐวุฒิ ถือหุ้นเป็นลำดับ 2 จ้างให้เป็นที่ปรึกษาโครงการดังกล่าวทั้งหมด 17 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องมีการประมูล 3 โครงการ และเป็นโครงการที่ ปตท. จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ อีก 14 โครงการ ถือว่าเป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่มีจำนวนโครงการมากที่สุดที่บริษัทนี้ได้รับจ้าง จึงตั้งข้อสังเกตุว่าโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ มีวิธีการอย่างไรในการได้มาของโครงการ และในส่วนของ 3 โครงการที่มีการประมูลนั้น มีการประมูล และจะขัดต่อพรบ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วย(พรบ.ฮั้ว)หรือไม่ ทั้งนี้มีความจำเป็นหรือไม่ว่าบริษัทของนายณัฐวุฒิ จะต้องได้รับจ้างงานเพียงบริษัทเดียว ซึ่งอาจทำให้บริษัทอื่นเสียโอกาส ส่วนการที่ตนจะยื่นเรื่องให้ใครเป็นผู้ตรวจสอบนั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญานของตนเอง และประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้ ที่ควรวิเคราะห์ว่าควรส่งเรื่องนี้ตรวจสอบก่อนหรือไม่ด้วย

ขณะที่นายจิร จบหิมเวศน์ ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนโครงการหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการทั้งหมดตั้งแต่ปี 2544-2554 มีทั้งหมด 13 โครงการ ซึ่งการจ้างโครงการของปตท.ด้วยวิธีประมูล 3 โครงการและแบบวิธีพิเศษ 10 โครงการ ซึ่งได้จ้างงานจากหลายบริษัทในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้การที่มีการมองว่า 3 บริษัทมีความเกี่ยวข้องกันนั้น จากการตรวจสอบพบว่ารายชื่อกรรมการในเอกสารหนังสือรับรองที่ยื่นในการเสนอราคาที่ได้รับจากแต่ะลบริษัท ไม่พบความซ้ำซ้อนและเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด โดยตามหนังสือรับรองการจดทะเบียน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัมจำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่บริษัทยื่นประมูลเข้ามา ก็ไม่ได้ระบุรายชื่อ หรือจำนวนผู้ถือหุ้น รวมทั้งความเกี่ยวโยงของผู้ถือหุ้นแต่ละรายมาด้วย ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน ระเบียบปฏิบัติการประมูล ของกระทรวงพาณิชย์อยู่แล้ว ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าทั้ง 3 บริษัทเป็นบริษัทเดียวกันหรือไม่

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"อเมริกา".. กับเกมแย่งชิงน้ำมันจาก.. "อิรัค & อิหร่าน"


  by Maira

ความจริงแล้ว รัฐบาลและประชาชนในตะวันออกกลาง น่าจะได้รับความสงบสุข ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทองที่มั่งคั่งจากการขายน้ำมันที่มี มหาศาลในภูมิภาคนี้ ..
แต่ทำไมจึงมีแต่ความขัดแย้งและสงคราม สู้รบกันไม่หยุดหย่อน?
เราลองมาดูกันนะคะว่าทำไม?
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920s [หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1] อังกฤษเป็นผู้ที่ควบคุมน้ำมันดิบของประเทสอิรัคทั้งหมด –ตามข้อตกลง ในสัญญา ซานมาริโน [The San Remo Agreement] 
             - แองโกลเปอร์เซีย [ภายหลังเปลี่ยนเป็น บริติชปิโตรเลียมหรือ BP] อังกฤษได้ส่วนแบ่ง ประมาณครึ่งหนึ่งของหุ้นใน บริษัท ปิโตรเลียมตุรกี ทั้งหมด( 47.5%),
             - ฝรั่งเศส 25 % ,
             -แองโกล-ดัตช์ และรอยัลดัตช์เชลล์ 22.5 % และ
             -คาลูลต์ กุลเบนเคียน 5% อัตราส่วนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเหมาะสม
การตกลงนี้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ..ยกเว้น อเมริกา ..
ดัง นั้พอสนธิสัญญาซานเรโม เริ่มบังคับใช้ เสียงเห่าหอนของการประท้วงจากชาวอเมริกัน ดังกระหึ่มชาวอิตาเลียนก็ไม่พอใจและกังวลว่าพวกเขาจะไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ เป็นธรรมจาก สนธิสัญญาไตรภาคีที่ทำไว้กับ แองโกล-ฝรั่งเศส
ผลที่ติดตามมาก็คือาชาวอิตาเลียนไม่ประสบความสำเร็จจากการประท้วง แต่ชาวอเมริกันมีความสามารถมากกว่าและได้ผลักดันตนเองให้แทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญานี้ จนได้ –โดยจ้างผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์น้ำมันร่วมสมัยให้นำเรื่องนี้ขึ้นมา ตั้งคำถามโผงผางอย่างตรงๆว่า “ถ้าคำถามเดียวเกี่ยวกับน้ำมันของอิรัคและอิหร่านที่ยังคงต้องสะสาง คือการตัดอเมริกาออกจากทางละก็ดีลนี้คงต้องเละ”
จากมุมมองของชาวอเมริกันพวกเขาเห็นว่า การค้นพบน้ำมันที่มีปริมาณมากของตะวันออกกลาง จะเป็นการคุกคาม และครอบงำอุตสาหกรรมน้ำมันของพวกเขา ซึ่ง ก่อนหน้านั้นอุตสาหกรรมอเมริกันได้ขยายตัวและรุ่งโรจน์มากว่าครึ่งศตวรรษ ในขณะที่ ฝรั่งเศสอังกฤษและเยอรมนี ไม่ได้ผลิตอะไรเลย มี แต่การบริโภคที่สูงมาก พวกเขาเป็นเพียง 'ผู้ชมที่เฉื่อยชา'
แต่ การตกลงในสนธิสัญญา ซานเรโม จะกลายเป็นว่าพวกเขามี 'กระสุน' ที่มีอาณุภาพมาก --และนอกจากนั้นยังได้ร่วมหัวกันกีดกันไม่ให้อเมริกันเข้าร่วมส่วนแบ่งใน อิรัก
ความยุ่งยากสำหรับชาวอเมริกันคือว่าทันทีหลังสงครามพวกเขาถูกวางให้เป็นตัวแทนของประชาชนในอาณานิคมที่ต่อต้านการรุกรานของจักรวรรษดิ
วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ประธานาธิบดี สหรัฐ กลายเป็นฮีโรผู้ช่วยเหลือกรุงแบกแดดในทันทีหลังจากสิ้นสุดของสงคราม ในเดือนกุมภาพันธ์ 1919  ปีกว่าปีก่อนข้อตกลงซานเรโมจะมีการลงนาม
และหนังสือบันทึกความจำจากสถานกงสุลสหรัฐอเมริกาในกรุงแบกแดดคุยเขื่องว่า “ในนามของประธานาธิบดีวิ ลสัน --จากริม ฝีปากของประชาชนชาวคนแบกแดด ทั้ง มุสลิม คริสต์ และชาวยิว ขอสดุดีท่านประธานาธิบดีที่มีความคงเส้นคงวาในฐานะตัวแทนของประเทศที่ไม่ สนใจจะแสวงหาผลประโยชน์ นอกจากรรักษาความปลอดภัย เสรีภาพ และความสุขของประชาชนที่ถูกกดขี่ในโลก” และนอกจากนั้นในบันทึกยังได้เขียนต่อไปอย่างชัดเจนด้วยความสุจริตใจ เพื่อชี้ให้เห็นว่า “ท่าน ประธานาธิปดีของอเมริกาจะให้ความคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัย และจากนี้ไป จะเป็นยุคสมัยของความยุติธรรม และความชอบธรรมสำหรับทุกคน” [President would secure 'a reign of justice and righteousness for all.]
แต่ ทันทีหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน 1918ทัศนคติของชาวอเมริกันเปลี่ยนจากความเพ้อฝันไปเป็นแข็งกร้าวอย่างรวด เร็ว.. ประธานาธิบดีได้ประณาม 'การช่วงชิงที่น่าขยะแขยงทั้ง' ในตะวันออกกลาง
 หลังจากที่มี การลงนามข้อตกลงซานเรโมในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1920 รัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของประธานาธิบดี วิลสัน ซึ่งเป็นทนายความแห่งรัฐมิสซูรี ที่เรียกว่า เบนบริดจ์ คอลบี (Bainbridge Colby) ได้ประณามอังกฤษและฝรั่งเศสว่า “ไม่เฉพาะความโลภของจักรวรรดินิยมเท่านั้น แต่เพราะพวกเขาได้สกัดกั้นผลประโยชน์ของอเมริกัน คอลบี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นทนายความของมาร์ค ทเวน (Mark Twain)-นักเขียนชื่อดังของอเมริกา- บ่นอย่างขมขื่นว่าข้อตกลงนี้คือ 'การรวมหัวกันผูกขาด และออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นผลประโยชน์ของอเมริกัน” แต่เขาไม่สนใจกล่าวถึงชาวอิรักแม้แต่น้อย
มันเป็นเพียงอุดมการณ์ของ 'ฉันเท่านั้น' ที่ท่านประธานาธิบดีอเมริกันจาก “มิด-เวสต์” ผู้มีไหวพริบในเชิงพาณิชย์โดยสัญชาตญาณของอเมริกา สะท้อนให้เห็นได้จากการแสดงออกของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
หลัง จากนั้นสมาชิกคนอื่น ๆ ของรัฐบาล วิลสัน ก็ได้เข้าร่วมกันเห่าหอน และโวยวายกับฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร เจ้าแห่งจักรวรรษดิที่ครอบครองอำนาจเหนืออาณานิคมแห่งนี้
แฟรง ก์ พอล์ค (Frank Polk) ที่ทำงานภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เขียนรายงานถึงวุฒิสภา เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1920 --เพียงสามสัปดาห์หลังจากที่ข้อตกลงซานเรโมได้รับการลงนาม --ในเอกสารฉบับนี้ พอล์ค ได้ประณามอังกฤษว่าเป็น “นโยบายของจักรวรรดิอังกฤษ ที่ไม่ต้องการให้คนต่างด้าว ( aliens)เข้ามามีอำนาจควบคุมการพลังงานของจักรวรรษดิ”
'บริติชโลภและตะกระตะกรามในความพยายามที่จะรักษาความมั่งคั่งของตน ในการควบคุมแหล่งน้ำมันดิบบางส่วนในต่างประเทศ '
หนึ่ง เดือนถัดไป เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โทมัส ดอนเนลล์ ประธาน กรรมการสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน กล่าวคำปราศรัยที่งานเลี้ยงอาหารค่ำจัดขึ้นโดย หอการค้านานาชาติ  --กลุ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1919 ซึ่งมีสมาชิกที่เรียกว่า 'พ่อค้าแห่งสันติภาพ' (merchants of peace') – อย่างแข็งกร้าวแต่ไว้ตัวว่า 'ไม่ มีใครที่รู้สึกขอบคุณคนอังกฤษที่อยู่ในต่างประเทศมากกว่าผม พวกเขาเป็นนักกีฬาที่ดี พร้อมที่จะรับโอกาสในการสำรวจและค้นคว้าหาสมบัติโลก ..ผมรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนชาวอังกฤษที่ดีของผมที่บ้านไม่เห็นดีด้วยกับผมการ รณรงค์สนับสนุนให้ทุกคนมีเสรีภาพทางโอกาส และในการสำรวจผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์นี้ '
ชาวอเมริกัน เป็นจำนวนมากรู้สึกไม่แฮปปี้กับประธานาธิบดี จากความฝันที่เขาได้แสดงออกที่พระราชวังแวร์ซาย ในระหว่างการประชุมสันติภาพปารีสในปี ค.ศ.1919 เขาได้ทำให้โลกกลายเป็นสถานที่ที่มืดมน ตัวเขาเองนั้นคร่ำเครียด ทำนายแต่ความขัดแย้งที่จะเพิ่มขึ้น แต่ครั้งนี้เป็นความขัดแย้งทางด้านธุรกิจและการค้า อย่างเห็นได้ชัด
ใน ช่วงต้น 1920,เขาเขียนไว้ว่า  “เรากำลังอยู่ในวันก่อนสงครามการค้าที่รุนแรงที่สุดอย่างหนึ่ง และผมคิดว่าบริเตนที่ยิ่งใหญ่ จะพิสูจน์ความสามารถให้เห็นว่ามีความโหดเหี้ยมแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในเชิงพานิชย์ เช่นเดียวกับที่เยอร์มันได้แสดงให้เห็นตลอดมาในด้านการแข่งขัน  ในหลายปีที่ผ่านมา”
*** แปดทศวรรษผ่านไป อเมริกาบุกโจมตีอิรัคตามลำพัง-โดยไม่ฟังเสียง UN- ด้วยข้อกล่าวหาว่า ซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธชีวภาพ และอาวุธทำลายล้างสูง (MWD)โดยซ่อนความกระหายที่จะครอบครองบ่อน้ำมันของอิรัคเอาไว้เบื้องหลัง
และปัจจุบันอเมริกาคือผู้ที่ปลดแอกอิรัคได้สำเร็จ และได้รับส่วนแบ่งและควบคุณน้ำมันของอิรัคมากที่สุด .. แทบจะเรียกว่า ตามลำพัง
***
ท้าย นี้เจ้าของบล๊อกอยากฝากข้อคิดไว้ ณ ที่นี้สักนิดว่า .. การที่อเมริกากล่าวหาอิหร่านว่ากำลังพัฒนาโครงการพันิวเคลียร์ ทั้งๆที่อิหร่านก็ออกมาบอกว่าเป็นพลังงานเพื่อสันติ นั้น อาจเหมือนกรณีที่กล่าวหาอิรัคก็เป็นได้ ..และจุดมุ่งหมายก็คงไม่ต่างกัน ..นั่นคือต้องการจะ "ฮุบบ่อน้ำมันของอิหร่าน?"
และ การที่อเมริกาส่ง Drone --เครื่องบินทำลายล้างชนิดไม่มีคนขับ เข้าไปฆ่านักวิทยาศาตร์ของชาวอิหร่านบนถนนในกรุงเตหราน และสมาชิกกลุ่มโมสาดของอิสราเอลที่เข้าไประเบิดรถของนักวิทยาศาสตร์ของ อิหร่านบนท้องถนนนั้นไม่ใช่การกระทำของ "ผู้ก่อการร้าย" เช่นกันหรือ? มันต่างกันตรงไหนกับการที่อิหร่านจะระเบิดนักการทูตยิวเป็นการตอบแทน?..ก็ยิวและแก๊งพี่เบิ้มอเมริกันไประรานเค้าก่อน ? บ้านของเขาเองแท้ๆ  ..ด้วยข้ออ้างงี่เง่าว่าเค้าผลิตอาวุธนิวเคลียร์ .. และถึงแม้อิหร่านจะผลิตได้จริง ก็จะแปลกอะไรในเมื่ออิสราเอลก็ยังผลิตได้???
ที่ เขียนมาทั้งหมดนี้เพียงต้องการจะให้เพื่อนๆ "คิดเอง" หาข้อมูลจากหลายๆแห่ง อย่าเพิ่งปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ..และที่สำคัญอย่าดึงประเทศไทยไปเกี่ยวข้องกับ ข้อขัดแย้งของพวกเขา ...จะเดือดร้อนประเทศเราเปล่าๆ ..เนื้อก็ไม่ได้ หนังก็ไม่ได้ (ยิวกับไอ้กันเอาไปกินหมด) แต่พี่ไทยจะต้องเอากระดูกมาแขวนคอ ..
***
ขอบคุณ ข้อมูลจาก
"Ghosts of Empire":
'Britain's Lasting Imperial Legacy'
by Kwasi Kwarteng

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตีแผ่ธุรกิจรัฐลงทุน-เอกชนรับทรัพย์ ขุดขุมทรัพย์ปตท. หมกค่าอีกมหาศาล


โดย Kamolporn Banlue เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 14:41 น. ·
ขุมทรัพย์อีกแห่งที่นักการเมืองทุกคนพยายามหมกเม็ด และปกปิดไม่ให้ประชาชนได้รับรู้
นำมาจาก....http://thai-energy.blogspot.com/2012/02/blog-post.html
พลังงานไทย พลังงานใคร
ทรัพย์สิน ของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตีแผ่ธุรกิจรัฐลงทุน-เอกชนรับทรัพย์ ขุดขุมทรัพย์ปตท. หมกค่าอีกมหาศาล !
- ผู้ถือหุ้น PTT หรือ 'PTT GANT' มีโอกาสสร้างผลกำไรมหาศาล !- สินทรัพย์ที่รัฐได้ลงทุนไว้ และยังอยุ่ในมือPTT มีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท - อนาคต 'LNG Receiving Terminal' ที่เพิ่งเปิดดำเนินการ จะเป็นขุมทรัพย์ใหม่ ที่นักธุรกิจ-การเมือง สบช่องเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจได้ - ที่สำคัญ PTT GANT คุมธุรกิจผูกขาดด้านพลังงานเบ็ดเสร็จ ยากที่มีรายใหม่เข้ามาแข่งขัน- จับตา '7 ขุนพล'ในครม.จะเป็นตัวช่วย เครือข่ายทักษิณ เข้ายึดธุรกิจพลังงานผ่านการขายหุ้นปตท.ให้กองทุนวายุภักษ์ได้สำเร็จหรือไม่ ?




  ท่าทีรัฐบาลหลังจากมีแนวคิดของ ดร.โกร่ง หรือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ หรือ กยอ. ได้เสนอความคิดให้กระทรวงการคลังขายหุ้นบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ให้กับกองทุนวายุภักษ์ บริษัทละ 2% ทำให้กระทรวงการคลังมีหุ้นทั้ง 2 บริษัทเหลืออยู่ประมาณบริษัทละ 49% โดย กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่แสดงท่าทีปฏิเสธในการรับลูกแนวคิดดังกล่าวในการตอบกระทู้สดของรัฐสภาไป เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น กิตติรัตน์เองก็เป็นคนออกมายืนยันว่าการขายหุ้นในส่วนของคลังไปให้กองทุน วายุภักษ์ 2% นั้นไม่น่าห่วงในกรณีไม่สามารถส่งต่อนโยบายพลังงานให้ปตท.ได้ เพราะว่ากองทุนวายุภักษ์เองนั้นก็ยังมีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 100%

  แม้วันนี้ดูเหมือนว่าแนวความคิดนี้ เมื่อทำการโยนหินถามทางและไม่ประสบความสำเร็จ และทำท่าดูเหมือนจะถอย แต่ทว่าเรื่องนี้อาจจะไม่น่าที่จะจบง่ายขนาดนั้น เหตุเพราะว่า ปตท.คือแหล่งผลประโยชน์ และเป็นธุรกิจที่มีอนาคต ทั้งทรัพย์สินที่รัฐบาลลงทุนไว้จำนวนมหาศาล แถมยังไม่ได้มีการถ่ายโอนคืนมาเป็นของรัฐ ขณะเดียวกันมีโอกาสมีสินทรัพย์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างสินทรัพย์ขึ้นมาเอง และยังมีการให้ภาคอุตสาหกรรม หรือไฟฟ้า ทำการสร้างท่อส่งก๊าซเข้าสถานีเองก่อนโอนให้ปตท.ในท้ายที่สุดอีกต่างหาก

   คำถามคือ แปรรูปปตท.ให้วายุภักษ์ 2% ทำไปทำไม และเหตุผลที่บอกว่า การแปรรูปนี้ยังอยู่บนพื้นฐานที่ว่ารัฐบาลยังคงถือหุ้นใหญ่ของปตท.ผ่านกอง ทุนวายุภักษ์ และยังสามารถควบคุม สั่งการ ให้ปตท.ยังเป็นบริษัทที่ทำเพื่อประชาชนคนไทยได้นั้น มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อน?         
   ปตท.ขุมทรัพย์มหาศาล   

   2 ธุรกิจหลักผูกขาดเบ็ดเสร็จ

   แหล่ง ข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่มีลักษณะเป็นกิจการที่ผูกขาดโดยธรรมชาติ ในบางประเทศจะเก็บธุรกิจในลักษณะนี้ให้เป็นของรัฐ แต่ในบางประเทศก็มีการขายหุ้นให้เอกชน สำหรับ ปตท.เองนั้นหลังจากมีการนำเข้าตลาดหุ้น โดยการแปรรูปเป็นบริษัทจดทะเบียนในวันที่ 1 ตุลาคม 2544 มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2 พันล้านหุ้น และเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2544 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 28,572,457,250บาท มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 28,562,996,250บาท มีจำนวนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อยู่ 2,856,299,625 หุ้น

 อย่างไรก็ดีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ที่ตัว ธุรกิจผูกขาดโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะท่อก๊าซ และโรงแยกสภาพก๊าซ LNG ที่เพิ่งดำเนินขึ้นเมื่อไตรมาส 2 ปี 2554 ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ แค่นี้ก็มีมูลค่ามหาศาล โดยท่อก๊าซธรรมชาติ แม้ว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งให้ปตท.คืนท่อก๊าซธรรมชาติให้กระทรวงการ คลัง ทั้งบนบกและในทะเลมูลค่า 32,613 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าเมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.เข้าไปตรวจสอบกลับพบว่าการส่งคืนท่อก๊าซให้คลังของปตท.นั้นเป็นเพียง มูลค่า 14,808.62 ล้านบาท คงเหลือส่วนที่ ปตท.ยังไม่ได้แบ่งให้กระทรวงการคลังมูลค่า 21,834.14 ล้านบาท

  ทำให้ขณะนี้ ปตท.มีท่อก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเล รวม 3,469 กิโลเมตร ซึ่งรวมท่อไปยังโรงไฟฟ้า IPP-SPP และท่อไปยังโรงงานอุตสาหกรรม NGV ด้วย ซึ่งตีราคาทรัพย์สินแล้วท่อก๊าซที่ยังมีในมือปตท.เท่าที่ปตท.เคยจ้างให้ บริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ 2 บริษัทคือ GEIOC และ SGST มาประเมินทรัพย์สินท่อก๊าซ 3 เส้นจากแหล่งในทะเล ที่ปรึกษาได้ประเมินราคาเฉลี่ยออกมาเป็น 112,500 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงมาก

  “ต้องเข้าใจ การลงทุนท่อส่งก๊าซฯ เป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก และได้ค่าตอบแทนคืนมาต้องใช้ระยะเวลานานมาก ที่ผ่านมาจึงมีการลงทุนโดยรัฐ แต่ปัญหาคือ เมื่อรัฐลงทุนไปแล้วระบบท่อส่งก๊าซกลับไปอยู่ในส่วนบริษัทเอกชนในการทำราย ได้ และยิ่งทำให้ ปตท.ได้เปรียบเจ้าอื่นๆ เพราะมีท่อส่งก๊าซเป็นของตัวเอง ขณะที่เอกชนรายอื่นจะต้องมาขอใช้ท่อส่งก๊าซกับปตท. ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านราคาก๊าซฯของบริษัทอื่นๆ สูงมากจนไม่สามารถแข่งขันกับปตท.ได้ ดังนั้นท่อส่งก๊าซนี้ ปตท.ควรจะคืนให้เป็นของรัฐจะดีที่สุด”

  ที่น่าสนใจคือในส่วนท่อส่งก๊าซเข้าโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม NGV ปตท.ให้โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นคนลงทุนสร้างท่อส่งก๊าซจากท่อหลัก เข้าไปในโรงไฟฟ้า หรือโรงงานอุตสาหกรรมเอง ตรงนี้ค่าใช้จ่ายของปตท.จึงเป็นศูนย์ ขณะที่หลังจากสร้างเสร็จ โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ต้องโอนท่อคืนให้ ปตท. ปตท.ได้ผลประโยชน์ตรงนี้ไปอย่างมาก ซึ่งความจริงแล้ว ปตท.ควรจะลงทุนเองหรือไม่ เพราะคนอื่นเขาก็ไม่เชี่ยวชาญด้านการทำท่อ เมื่อทำแล้วก็แพงกว่าปตท.ทำเอง พอทำเสร็จยังต้องยกให้ปตท.อีก     

  ปตท.ก็เลยได้ทรัพย์สินฟรีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

 นอก จากนี้จุดที่น่าสนใจในทรัพย์สินปตท.ในธุรกิจผูกขาดโดยธรรมชาติ ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ยังไม่มีใครสนใจมากนักคือ โรงแยกสภาพก๊าซ LNG ที่อยู่ในบริษัทพีทีที แอลเอ็น จี จำกัด ซึ่ง ปตท.ถือหุ้น 100% เป็นกิจการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซเพียงรายเดียว ในประเทศไทย ซึ่งโรงแปรสภาพก๊าซนี้ ปตท.ได้ตั้งขึ้นมามีวัตถุประสงค์เพื่อนำเข้าก๊าซเหลวทางเรือจากต่างประเทศ เพื่อนำมาแปรสภาพของเหลวเป็นก๊าซและส่งจำหน่ายตามท่อก๊าซ และบางส่วนเก็บเป็นของเหลว เพื่อเมื่อเกิดปัญหาในระบบท่อก๊าซ ก็สามารถมีการขนส่งทางบกได้เพื่อเป็นการสำรองพลังงานเผื่อขาดซึ่งเป็นจุดดี

ปัญหา คือโรงแปรสภาพก๊าซ LNG นี้ จำเป็นจะต้องอยู่ในท่าเรือน้ำลึกที่เรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่สามารถเข้าถึง ได้ง่าย ซึ่งเวลานี้ไม่มีที่อื่นที่มีสภาพเหมาะสมสำหรับการตั้งโรงงานแบบนี้อีกแล้ว นอกจากของบริษัทปตท.ที่ตั้งโรงงาน LNG อยู่ที่มาบตาพุด ซึ่งถือว่าเป็นการผูกขาดธุรกิจโดยทำเลที่ตั้ง โดย LNG RECEIVING TERMINAL ที่มีมูลค่าการลงทุน 33,440 ล้านบาท มีผลตอบแทน 10.46%     

   “ทุกวันนี้ยังไม่มีเอกชนรายอื่นทำเอง เพราะไม่มีท่าเรือน้ำลึกที่เหมาะสม และเอกชนรายอื่นก็ยังมาขอใช้โรงแปลงสภาพนี้ไม่ได้ จึงเป็นกิจการผูกขาดอีกตัวหนึ่งที่ปตท.ได้ประโยชน์ ต่อไปรัฐควรจะต้องมีการอนุญาตให้เอกชนรายอื่นมาใช้โรงแปรสภาพนี้ได้ในลักษณะ การคิดค่าบริการ เหมือนกับระบบท่อส่งก๊าซก็ต้องให้เอกชนรายอื่นใช้ได้ด้วยเช่นกัน”





 ปตท.สบประโยชน์ทุกช่อง 

  นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ปตท.ยังมีข้อได้เปรียบในการทำกิจการค้าก๊าซธรรมชาติอีกหลายจุด

   โดยในส่วนบริษัท ปตท. นั้น ปัจจุบันในการกำกับดูแลโดย กกพ. หรือเรคกูเรเตอร์ ได้มีการออกใบอนุญาตด้านก๊าซธรรมชาติ 4 ใบอนุญาตคือ ใบอนุญาตขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อฯ,ใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ,ใบอนุญาตค้า ปลีกก๊าซธรรมชาติผ่านระบบจำหน่าย และใบอนุญาตเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซฯจากของเหลวเป็นก๊าซ

   “ทุกวันนี้ใบอนุญาตทั้ง 4ใบ ปตท.ยังถือว่าเป็นบริษัทที่ผูกขาดกิจการก๊าซธรรมชาติในเกือบทุกหมวดการทำ ธุรกิจพลังงานก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพราะความได้เปรียบในหลายๆจุด ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาแข่งขันกับปตท.แม้กระทั่งบริษัทต่างชาติรายใหญ่”

 ขณะ ที่ใบอนุญาตจัดหาและค่าส่งก๊าซฯ ปตท.ก็ยังเป็นบริษัทที่ได้เปรียบ เนื่องจากปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้จาก 3 แหล่งใหญ่ (Pool Gas) ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ก๊าซธรรมชาติที่ซื้อจากพม่า และก๊าซ LNG ที่ซื้อก๊าซธรรมชาติมาแล้วนำมาแปรสภาพเป็นของเหลวก่อนนำส่ง

        โดย ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นก๊าซที่มีราคาถูกที่สุด เนื่องจากเป็นสัญญาสัมปทานระยะยาว ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติในส่วนของที่ขุดเจาะจากอ่าวไทยมีราคาอยู่ที่ 7.14 บาท/กก. ขณะที่ก๊าซฯที่นำเข้าจากพม่า จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 12.56 บาท/ก.ก. และก๊าซฯ LNG ที่ต้องมาแปลงสภาพจากก๊าซเป็นของเหลวเพื่อสะดวกต่อการขนส่งนั้นจะมีต้นทุน สูงที่สุดคือมีราคา 18.68 บาท/ก.ก.

  โดยในระบบจัดการโครงสร้างของการคิดราคา จะมีการนำราคา 3 ส่วนมารวมกันแล้วหาราคาค่าเฉลี่ย ทำให้ปตท.นั้นมีราคาถูก ที่ทำให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาอาจไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้   

   ประเด็น สำคัญอยู่ 3 จุดใหญ่คือ ในจุดของก๊าซจากบ่อขุดเจาะทั้ง 7 ในอ่าวไทยนั้น หลุมขุดเจาะส่วนใหญ่เป็นของปตท.สผ.เมื่อนำมารวมกันแล้วจะอยู่ใน Pool 1 ซึ่งปตท.จะนำก๊าซธรรมชาติในส่วนนี้ไปกลั่นแล้วใช้ในกิจการพลังงานของปตท.เอง ส่วนที่เหลือจึงนำไปไว้ใน Pool 2 ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ว่า Pool 2 นี้จะมีการนำก๊าซในส่วนของ LNG มารวมในนี้ก่อนเพื่อนำไปขายให้ EGAT,IPP,SPP,NGV และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งจะมีต้นทุนที่สูงกว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติของปตท.

  นอกจากนี้ ในระบบขนส่งก๊าซฯไปสู่ผู้ซื้อก๊าซ ยังมีการคิดค่าบริการค่าส่งก๊าซฯทางท่อ ซึ่งปตท.เป็นเจ้าของเพียงรายเดียวอีก ทำให้ปตท.ยิ่งได้เปรียบคู่แข่งอื่นๆ

  นี่ไม่รวมกับการที่ ปตท.ยังมีธุรกิจดาวรุ่ง คือ ปตท.สผ.โดยปตท.สผ.มีการลงทุนในโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำนวนทั้งหมด 44โครงการ เป็นโครงการลงทุนในประเทศไทย จำนวน 17 โครงการลงทุนในพื้นที่พัฒนาร่วม 1 โครงการ พื้นที่คาบเกี่ยว 1 โครงการ และลงทุนในต่างประเทศ 27 โครงการ อาทิ สหภาพพม่า เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย โอมาน อัลจีเรีย อียิปต์ บาห์เรน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2554)

  ไม่รวมธุรกิจ NGV ที่ปตท.ก็ยังเป็นผู้ดำเนินการเพียงรายเดียวอีก

 อย่า แปลกใจ แม้ว่าปตท.จะมีระบบกำกับดูแล จะมี ก.ล.ต.คอยดูความโปร่งใส มีภาคประชาชนคอยจับจ้องนโยบายต่างๆ ของปตท. แต่ที่พบคือ ปตท.สามารถมีกำไรในทุกจุดที่ดำเนินการแบบผูกขาด

  ดังนั้นแม้ปตท.จะประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าปตท.มีต้นทุนพลังงานบางส่วนที่ขาด ทุนแล้วขาดทุนเล่า แต่กำไรปีละเป็นแสนล้านคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปตท.เป็นธุรกิจผูกขาดที่ทั้งผู้ถือหุ้นหรือผู้ที่เข้ามาหาจุดแทรกในกระบวน การต่างๆ ของปตท.ย่อมได้ประโยชน์มหาศาล !     

  ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อปตท.เป็นธุรกิจผูกขาดขนาดนี้ การที่ปตท.จะขอขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติเมื่อไรก็ย่อมได้ ขณะเดียวกันผลประโยชน์ในปตท.ก็มีโอกาสมากที่จะผ่องถ่ายเข้าสู่กลุ่มนัก ธุรกิจการเมือง...

 หุ้น 13% นอมินีทักษิณ ?

ผล ประโยชน์แรกที่ได้แน่ๆ คือกำไรจากส่วนต่างราคาและปันผลของผู้ถือหุ้น การที่รัฐบาลยังมีหุ้นอยู่ในจำนวน 49% รวมกับวายุภักษ์ที่ยังมีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่อีกจำนวนหนึ่ง เงินจำนวนนี้ยังคงเข้าสู่ภาครัฐบาล และก็พูดกันมากกว่ากลุ่มการเมืองเป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากปตท.มาโดย ตลอดด้วย ในหุ้น 13% ที่มีนอมินีถือแทน ซึ่งมีหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นกลุ่มนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยซ้ำ

    แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญตลาดทุน กล่าวว่า วิธีดูว่ากลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนจะเข้าไปอยู่ตรงไหนได้บ้าง ตามหลักสากลแล้ว จะดูได้จากหุ้นรายย่อยที่มีจำนวนมากกว่า 0.5% เพราะว่าต้องเปิดเผยตัวตน ซึ่งปรกตินักการเมืองก็จะมีกองทุน หรือโบรกเกอร์ต่างประเทศเจ้าต่างๆ มาถือหุ้นให้แทน เมื่อไปดูการเปิดเผยข้อมูลตรงนี้รวมกันแล้วได้หุ้นที่น่าสงสัยรวมๆ แล้วมา 13%     


 “13% นี่ คิดแค่ค่าส่วนต่างราคาหุ้นนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงนโยบาย พลังงานตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2554-20 มกราคม 2555 คนกลุ่มนี้ได้กำไรไปแล้ว 38,000 ล้านบาท”     

   ขณะที่ผลประโยชน์ต่อมา นอกจากราคาหุ้นแล้ว กลุ่มนักการเมืองยังจะสามารถตั้งบริษัทไปซื้อธุรกิจที่ปตท.ก่อนที่ปตท.จะ เข้าไปลงทุนก่อนได้อีก ซึ่งทุกวันนี้ก็มีการทำอยู่แล้ว แต่ต่อไปจะมีการทำดีลแบบนี้ได้สะดวกขึ้น

 ประการต่อมา คือผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา ที่เกี่ยวโยงไปถึงความสัมพันธ์ ทักษิณ-ฮุน เซน

   “ไม่ต้องมาบอกแล้วว่าจะทำตัวเลขหนี้สาธารณะให้ดูดี คนที่ทำธุรกิจพลังงานมองทีเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยว กับผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ที่สำคัญการเมืองในยุคนี้ไม่ใช่การเมืองที่ทำเพื่อประเทศชาติ”

  แหล่งข่าวอดีตผู้บริหารบริษัทด้านพลังงาน กล่าว และมองว่าเรื่องนี้เป็นใบสั่งทางการเมืองแน่นอน ทั้งนี้มีข่าวในวงการพลังงานมาก่อนหน้านี้แล้วว่ามีการต่อรองผลประโยชน์กัน ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้เชื่อเช่นนั้น     

   “เขาพูดกันถึงขนาดที่ว่า การตกลงครั้งนี้คือให้เชฟรอนเป็นคนได้งาน ตรงนี้จะมีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฮุน เซนในลักษณะ win-win”

  ที่สำคัญแหล่งพลังงานในพื้นที่ดัง กล่าวยังมีการประเมินมาแล้วว่าเป็นแหล่งก๊าซและน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีมูลค่า กว่า 10 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของ ปตท. การควบคุมปตท.อย่างเบ็ดเสร็จ โดยมองว่าการที่ประเทศกัมพูชาไม่มีระบบท่อก๊าซ และไม่มีระบบเรือบรรทุกน้ำมัน ก็จะมีการนำก๊าซธรรมชาติที่ขุดเจาะมาได้มาใช้ประโยชน์จากท่อก๊าซของปตท. และระบบขนส่งน้ำมัน    

   รุกคืบ TTA ต่อยอดธุรกิจพลังงาน      

      ซึ่งเหตุนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการขยับเข้าไปถือหุ้นรายใหญ่ของ อุษณา มหากิจศิริ ในฐานะกรรมการ TTA ลูกสาวของประยุทธ มหากิจศิริ ที่เข้าซื้อหุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์มากถึง 20.5 ล้านหุ้นในราคาหุ้นเฉลี่ย 22 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 451 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ เฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการ TTA ผู้เป็นพี่ชายเป็นผู้ถือหุ้น TTA อยู่แล้ว 99 ล้านหุ้น หรือ 14% ซึ่งเป็นรายใหญ่สุด เมื่อรวมกับการที่ อุษณา เข้าซื้อหุ้น TTA ครั้งนี้อีก 3% ทำให้ตระกูลมหากิจศิริมีหุ้น TTA ในมือเวลานี้อยู่ประมาณ 17% และที่ผ่านมาทั้ง 2 คนได้รับเงินปันผลจาก TTA ไปแล้วเกือบ 60 ล้านบาท


  ทั้งนี้สำหรับศักยภาพของ TTA เดิมก่อนปี 2551 นั้น TTA มีรายได้ทางเดียวจากการเดินเรือ แต่ระยะหลังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆเพิ่ม ที่สำคัญคือ ธุรกิจขนส่งน้ำมันด้วยเรือขนาดเล็กป้อนตลาดแถบฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย

  เมื่อไปดูกิจการผูกขาดของปตท.ที่นอกจากท่อก๊าซแล้ว ยังมีโรงแปรสภาพก๊าซ LNG ที่ผูกขาดโดยลักษณะที่ตั้งที่เหมาะสม ทำให้ถูกมองได้ว่า กลุ่มการเมืองที่คุม TTA นี้มีแผนที่จะเดินหน้าธุรกิจขนส่งน้ำมันมากขึ้น โดยเชื่อมต่อกับ LNG และช่วยขนส่งน้ำมันจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชาในอนาคต

  “ตรงนั้นยิ่งกว่าขุมทรัพย์อีก ไม่ยากที่ TTA จะลงทุนซื้อเรือบรรทุกน้ำมันมาเพิ่ม และถ้าหากกลุ่มการเมืองไม่มีแผนนี้คงไม่ให้ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ มานั่งเป็นบอร์ด TTA ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีชื่อของประเสริฐนั่งเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งด้วย”       การจับประเสริฐมานั่ง บริหารบอร์ด TTA แทนที่ตำแหน่งรัฐมนตรี จึงมองได้อย่างเดียวว่า เพื่อเตรียมการบางอย่างและเป็นงานที่สำคัญกับธุรกิจครอบครัวชินวัตร และมหากิจศิริ อย่างยิ่ง!

  ประเด็นสำคัญคือหากวันไหนที่รัฐบาลจะเดินหน้าโอนหุ้นปตท.เป็นของเอกชนมาก ขึ้น อะไรคือสิ่งที่น่าห่วง ตามที่รัฐบาลอธิบายว่า หุ้นแค่ 2% ที่โอนไปให้วายุภักษ์ ก็เป็นจำนวนน้อยมาก ขณะที่วายุภักษ์เองก็ถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง 100% อยู่ดี     

   สภาพัฒน์-ครม.-สภาฯ พ้นอำนาจตรวจสอบ

  แหล่งข่าวในแวดวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาเนื่องจากกระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนั้นแม้ปตท.จะแปรสภาพเป็นเอกชนไปแล้ว แต่ยังถือว่ายังมีสภาพการบริหารงานในลักษณะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งในส่วนที่ยังมีความเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นนี้ทำให้ ปตท.เองนั้นมีหลายหน่วยงานเข้ามาดูแล ทั้ง กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และยังต้องเสนอโครงการหรือแผนงานต่างๆ ผ่านสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ


   “จากรัฐกลายเป็นเอกชนเต็มตัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเอาประโยชน์เข้าตัวเองง่ายขึ้น ขณะเดียวกันการติดตามและการตรวจสอบจากฝ่ายต่างๆ จะทำได้ยากขึ้น”

ประเด็น นี้ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ วิเคราะห์ด้วยว่า โดยความจริงแล้ว การแปรรูปปตท.เป็นเอกชนเต็มตัวนั้นมีข้อดี คือทำให้ ปตท.มีการบริหารงานที่คล่องตัว และสามารถทำกำไรให้ธุรกิจได้มาก มีความสามารถในการแข่งขันทางการค้าที่สูงขึ้น

  แต่ความที่ ปตท.เคยมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ด้วยในช่วงที่ผ่านมา ในการทำธุรกิจจึงต้องทำเพื่อประชาชนด้วย ซึ่งก็เป็นข้อดี แต่หากพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจไปแล้ว ก็จะมีสภาพเป็นบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ ควบคุมโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.
   สิ่งที่น่ากังวล นอกจากไม่ต้องส่งโครงการไปให้สภาพัฒน์พิจารณาแล้ว การลงทุนที่แต่เดิมจะต้องผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไป นอกจากนี้กลไกการตรวจสอบก็จะลดลงด้วย โดยเฉพาะการตรวจสอบจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะกรรมาธิการฯจะไม่สามารถเรียกข้อมูลของบริษัทเอกชนมาดูได้ง่ายๆอีก ซึ่งความจริงแล้วแม้จะเป็นเอกชนแต่ก็ใช่ว่าจะมีการบริหารงานอย่างโปร่งใส มีช่องทางให้ทุจริต หรือการเมืองเข้าแทรกแซงได้อยู่ดี     

  โดยเฉพาะการที่กองทุนวายุภักษ์กำลังจะหมดอายุ ในปี 2556 ซึ่งหากมีสิทธิที่จะมีการเปลี่ยนสภาพกองทุนวายุภักษ์เป็นกองทุนเปิด แล้วหากรัฐบาลไม่ซื้อหุ้นคืน อำนาจในการบริหารของกระทรวงการคลังก็จะหมดไปเป็นของเอกชน การเปลี่ยนมือไปเอกชนรายอื่นๆก็จะง่ายขึ้น เพราะรับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีการถ่ายโอน ซึ่งแม้ตลาดหลักทรัพย์จะกำกับดูแล แต่ก็ไม่สามารถดูแลได้ 100%
  นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วงคือ คณะกรรมการ หรือบอร์ดของปตท.ต่อไปก็ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นคณะกรรมการที่มาจากข้าราชการ และอัยการเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นความเป็นเอกชนจากบอร์ดจึงไม่เกิด เรียกว่าเอกชนจำแลง คือแม้บริษัทเป็นเอกชน แต่การบริหารจัดการยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมๆ บอร์ดที่ยังเป็นข้าราชการเป็นหลัก ก็ยังเป็นบอร์ดที่เปิดช่องให้การเมืองเข้ามาแทรก

   เพราะฉะนั้นการปล่อยให้ปตท.เป็นของเอกชนมากขึ้นจึงไม่ได้มีประโยชน์ นอกจากทำให้กฎกติกาการตรวจสอบและควบคุมหลุดออกไปเท่านั้น !     

  ถึงยุคทักษิณ กินรวบธุรกิจพลังงาน      

ส่ง '7 มือดี'คุมทุกสายพร้อมกลืนปตท.  

 ทักษิณ ยึด ก.พลังงานจากสุวัจน์ จัดทีม 7 มือดีลุยธุรกิจพลังงาน “อารักษ์-ผดุง-นิวัฒน์" เดินหน้าชงธุรกิจพลังงาน เดินเงียบหวังชัวร์ พร้อมจัดซี้ คุมความมั่นคง-ผู้ว่า เบ็ดเสร็จ ประสาน 3.รมวเก่า ช่วยปูทางทุกด้านทั้ง “ตปท.-คลัง-มวลชน” คนพลังงานชี้เหลือไม่กี่ขั้นเข้าครอบครองธุรกิจพลังงานได้ไม่ยาก      

     ดูเหมือนว่าความพยายามในการลงทุนทำธุรกิจพลังงานจะเป็นที่สนใจ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ระหกระเหินเดินทางไปทั่วโลก และการพำนักยังนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ส่งผลให้เกิดแนวคิดการทำธุรกิจที่ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ส่งมือดีเข้ามาทำงานในคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหลายตำแหน่งที่นอกเหนือจากภารกิจค้ำยันรัฐบาลให้สามารถยืนระยะ ต่อไปได้แล้ว


  ภารกิจที่เกี่ยวกับธุรกิจพลังงานจึง น่าจับตาอย่างยิ่ง เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณได้ยึดคืนเก้าอี้กระทรวงพลังงานกลับมาดูแลเองโดยตรงหลัง จากชนะเด็ดขาดจากการเลือกตั้ง หลังจากที่ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินคุมกระทรวงนี้มาช้านาน การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ จึงเท่ากับว่าเป็นการดึงทีมงานคนสนิท เข้ามาทำงาน โดยมี 7 คีย์แมนคนสำคัญทั้งจากเครือชินวัตร และรัฐมนตรีเก่าหลังจากที่ปล่อยให้รัฐมนตรีเดิมได้ชื่นชมในตำแหน่งมาพอสมควร จึงถึงคราวที่จะเดินหน้าสานต่อธุรกิจพลังงานเสียที

       อารักษ์ ชลธรานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้า รับงานต่อจาก พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน ที่เปลี่ยนจากบทนายทุนพรรคมาสู่รัฐมนตรีและเตรียมที่จะเดินหน้าธุรกิจ พลังงานเต็มที่ แต่หลังจากเข้ารับตำแหน่ง งานกลับไม่คืบหน้ามากนักไปจนถึงสไตล์การทำงานที่โฉ่งฉ่าง จนกลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป การปรับครม.ครั้งที่ผ่านมาจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นหน้าที่ของอารักษ์ ขึ้นรั้งเก้าอี้รมว.พลังงานแทน        

     "คุณพิชัย คงไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้มากนักเพราะทำธุรกิจอัญมณีมาก่อน แต่จุดสำคัญก็คือการทำงานที่โฉ่งฉ่างจนเป็นที่เตะตาของสังคมมากเกินไป จึงต้องถูกปรับออกจากครม.และให้เป็นหน้าที่ของสายตรงของคุณทักษิณ อย่างคุณอารักษ์ที่มีความสุขุม เงียบกว่า และสามารถสั่งงานได้ดั่งใจ” แหล่งข่าวแวดวงพลังงาน ระบุ

  อารักษ์ขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคล ใกล้ชิดของพ.ต.ท.ทักษิณที่ผ่านมา ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ สายปฏิบัติการกลุ่มบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ในปี 2533 ซึ่งถือว่ายาวถึง 10 กว่าปีจนถึงตำแหน่งล่าสุดกับตำแหน่งที่ปรึกษา บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น เมื่อเข้าสู่แวดวงการเมืองเต็มตัวก็ได้เตรียมสานต่อโครงการเดิมที่พิชัย ได้เตรียมไว้ทั้งการสานต่อนโยบายปรับโครงสร้างราคาพลังงาน และเจรจาลงทุนแหล่งก๊าซไทย-กัมพูชา ทันที       

   สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ถือ ว่าเป็นบุคคลประเภท กล้าได้-กล้าเสียโดยมีผลงานประจักษ์ชัดจากการคืนพาสปอร์ตให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ และในช่วงปลายปี 54 ที่ผ่านมา สุรพงษ์ และพิชัย 2 รัฐมนตรีของไทยได้เดินทางเยือนกัมพูชา พร้อมกับมีความร่วมมือหลายด้าน อาทิ โครงการ ACMECS Single Visa ที่จะเริ่มต้นในปี 2555 ที่หวังผลด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา การสนับสนุนสร้างหอพักและลานกีฬาเพิ่มเติม ภายในศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย
รวมไปถึงจุดสำคัญก็คือ ความร่วมมือด้านพลังงานโดยทั้ง 2 ฝ่ายจะเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลโดยเร็ว รวมถึงการสร้างเขื่อนไฟฟ้าสตึงนัม และความร่วมมือด้านก๊าซธรรมชาติ โดยไทยจะเปิดการฝึกอบรมให้แก่ผู้เชี่ยวชาญของกัมพูชาในเรื่องโรงแยกก๊าซและ ปิโตรเคมีด้วย

   พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม   เพื่อน ซี้เตรียมทหารรุ่น 10 ของพ.ต.ท.ทักษิณย้ายข้ามฟากจากกระทรวงคมนาคมมานั่งดูแลงานด้านความมั่นคง แทนที่พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรมว.กลาโหม ที่ถูกวางตัวให้ดูงานความมั่นคงภายใน และในส่วนของธุรกิจพลังงานต้องดูแลงานด้านความมั่นคงให้พร้อมที่สุด เนื่องจากยังคงมีสถานการณ์อ่อนไหวหลายกรณี อาทิ กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา และกรณีการเสียชีวิตของลูกเรือชาวจีน ที่จ.เชียงราย รวมถึงการขุดเจาะและสำรวจก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ชายแดน เขต จ.ระนอง จันทบุรี ตราด ซึ่งเป็นน่านน้ำที่ทับซ้อนกับประเทศกัมพูชาด้วย         

 "งาน ความมั่นคงถือว่ามีความสำคัญเพราะพื้นที่ทับซ้อน หรือมีความขัดแย้งต้องใช้การคุมเกมด้านความมั่นคงให้ดีที่สุด เพราะการหาแหล่งพลังงานต้องเดินคู่กันไปจึงจะทำได้สะดวก การมีผู้ที่ไว้ใจได้สั่งได้โดยตรงจะทำให้งานเดินหน้าได้ดี

   ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการ รมว.มหาดไทย ที่ เข้ามาแทนที่ของ อารี ไกรนรา อดีตเลขานุการฯ และอดีตหัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง ถือว่าเป็นการกลับเข้ามาสู่แวดวงการเมืองอีกครั้ง หลังจากยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยนอกเหนือจากส่งเข้ามาช่วยรัฐบาลแล้ว การเดินหน้าในสายมหาดไทยที่ต้องสอดประสานกับสายงานด้านความมั่นคง เนื่องจากเพราะประเทศไทยมีแหล่งพลังงานทั้งทางบกและทางทะเลที่สูงมาก


    กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ถูก จับตาจากการจัดทำพ.ร.ก.กู้เงิน 4 ฉบับ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่นำมายึดโยงกับปัญหาอุทกภัยตามแนวทางของกยอ.โดยอธิบายว่าต้องการลดภาระ หนี้สาธารณะรัฐบาลจากภาระหนี้ของรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งอย่างปตท.และการบินไทย แต่ก็ถูกแรงต้านจากอดีต 2 รมว.คลัง ทั้งธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล และกรณ์ จาติกวณิช ที่ยืนยันว่า เพดานหนี้สาธารณะของรัฐบาลยังกว้างพอที่จะกู้เงินได้โดยไม่ต้องแปรรูปรัฐ วิสาหกิจ      


 จุดสำคัญของรมว.คลังอีกทางหนึ่งก็ คือรัฐบาลโดยก.การคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ “กองทุนวายุภักษ์” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อกปตท.จากรัฐวิสาหกิจไปสู่การเป็นบริษัทเอกชน ด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มเติมผ่านกองทุนดังกล่าวแต่ก็ต้องถูกเลื่อนออกไปเนื่อง จากมีแรงต้านอย่างหนักจากหลายกลุ่ม      

 "หากได้ปตท.ซึ่ง เป็นธุรกิจผูกขาดย่อมจะได้เปรียบเพราะคู่แข่งไม่เข้ามาแข่งแล้ว และหากเทียบกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีของธุรกิจโทรคมนาคมที่สูงมากถือว่าคุ้ม ค่ามาก และตอนนี้ก็เพียงขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้น เพียงแต่การอ้างหนี้สาธารณะเพื่อแปรรูปปตท.มันยังฟังไม่ขึ้น และมีแรงต้านสูง จึงยังแปรรูปเป็นเอกชนเต็มตัวไม่ได้ "      

นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  เข้า มาดูงานด้านสื่อมวลชนผ่านการดูแลสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (NBT) ที่ได้ผลิตรายการที่เน้นการสร้างภาพลักษ์เชิงบวกให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเชื่อมโยงกับผลงานของพ.ต.ท.ทักษิณมากขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการสร้างการรับรู้ที่ดีต่อสังคม ซึ่งจะช่วยในการรักษาฐานมวลชนเดิม พร้อมกับเมื่อไปสู่การจัดทำนโยบายต่างๆจะช่วยให้มีแรงต้านที่น้อยลง


   "สังเกตได้ชัดเลยว่าข่าวของกรมประชาสัมพันธ์ มีข่าวเชิงบวกของคุณทักษิณเยอะขึ้นมาก ซึ่งเป็นเจตนาที่ชัดเจนในการสร้างการรับรู้ของประชาชน เพื่อให้การดำเนินโครงการต่างๆที่สุ่มเสี่ยงมีการยอมรับมากยิ่งขึ้น" แหล่ง ข่าวด้านความมั่นคง ระบุ      

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ที่ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มปตท. ผ่านธุรกิจของเครือญาติ ซึ่งปรากฎว่าปตท.ได้ว่าจ้างบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ซึ่งในอดีตนั้นณัฐวุฒิ และพวกได้เคยถือต่อมาได้โอนหุ้นให้กับ เจตนันท์ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นพี่ชายของณัฐวุฒิ โดยรับเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ และมวลชนสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซ 14 โครงการมูลค่าหลายสิบล้านบาท  

     "การตั้งบริษัทของคุณณัฐวุฒิ เป็นการรับงานที่อาจจะถ่ายเงินออกมาจากปตท.ผ่านโครงการต่างๆที่นักการเมือง ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่อาจตรวจสอบได้ว่าการรับงานต่างๆนั้นสูง-หรือต่ำ แต่ก็ยังเดินต่อไปได้เพราะการเมืองอยู่ในปตท.เสมอ "

ทั้งหมด นี้ จึงถือว่าเป็นเกมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความสนใจอย่างมากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การส่งมือดีเข้ามาทำงานในรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญนี้ หากจะมองเพียงว่าเป็นการประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์เท่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็น การประเมินพ.ต.ท.ทักษิณต่ำเกินไป...

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อมูลลึก“บ.ณัฐวุฒิ-พวก”-ผู้ร่วมประมูลเคลียร์มวลชนท่อก๊าซ ปตท.“กลุ่มเดียวกัน

โดย isranews หมวด isranews
เปิดข้อมูลลึก ปตท.จ้าง “บ.ณัฐวุฒิ”กับพวก เคลียร์มวลชนโครงการท่อส่งก๊าซ ผู้ร่วมประมูลกลุ่มเดียวกัน สลับถือหุ้นไขว้-เป็นกรรมการนัวเนีย 2 พลเอกถือหุ้นใหญ่ โยงบริษัทน้องชายรองนายกฯ   
          การที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่าจ้างบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือหุ้นกับพวกถือหุ้นต่อมาโอนให้พี่ชาย)เป็นปรึกษาประชาสัมพันธ์และมวลชน สัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซ 14 โครงการมูลค่าหลายสิบล้านบาทกำลังถูกตั้งคำถาม เมื่อพบว่าผู้ยื่นซองประกวดราคาอย่างน้อย 3 โครงการ(ไม่ใช่วิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ) มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันในหลายประการ
          สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า
1.โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี –พญาไท จำนวน 7 โครงการ ระยะเวลา 4 เดือน กันยายน 2552-ธันวาคม 2552 ซึ่งบริษัทไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบริค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูลด้วยวงเงิน 3,549,600 บาท วันที่ 4 สิงหาคม 2552
2.โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซในเขตกรุงเทพมหานคร (BANGKOK CITY GAS) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูลวงเงิน 9,864,000 บาท เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553
3.โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บริษัทสหวิริยา เพลทมิล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะประมูลวงเงิน 3,744,000 บาท วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553

          โครงการแรกมีผู้เสนอราคา 3 ราย คือ
บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น ทีม จำกัด เสนอราคา 3,660,000 บาท
บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 3,700,000 บาท
บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด เสนอรคา 3,549,600 บาท

          โครงการที่ 2 บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด เสนอราคา 9,864,000 บาท บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 11,502,000 บาท

          และโครงการที่ 3 มีผู้เสนอราคา 2 ราย คือ
บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 5,120,000 บาท และ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 3,744,000 บาท

          สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า
1. บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ทุน เริ่มแรก 1.5 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาวางแผนงานด้านประชาสัมพันธ์ ส่วน บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 มิถุนายน 2551 ทุนเริ่มแรก 1.5 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาวางแผนงานด้านประชาสัมพันธ์ (เพิ่มทุนวันเดียวกัน)
2.สำนักงานที่ตั้งเดิมของ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 48/442 ซอยเสรีไทย 33 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เลขที่เดียวกันกับสำนักงานที่ตั้งเดิมบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น เลขที่ 48/442 หมู่ 2 คลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
          ปัจจุบัน บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น ทีม จำกัด แจ้งเลขที่ 2991/2 ชั้น 4 ซอยลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด แจ้งเลขที่ 2991/2 ชั้น 5 ซอยลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ
          น่าสังเกตว่าทั้งสองแห่งแจ้งที่อยู่เดียวกันแต่แห่งละชั้น
3.เบอร์โทร.ติดต่อของบริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 02-37013xx-9 เป็นหมายเลขเดียวกับเบอร์โทร.ของบริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
4.นางสาวราศรี แซ่หลี กรรมการบริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัดช่วงก่อตั้งปี 2551 เป็นกรรมการ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัดและถือหุ้นบริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 20,000 หุ้น (วันที่ 1 เม.ย.54) และต่อมาเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 40,000 หุ้น 4 ล้านบาท (วันที่ 1 เมษายน 2554-เข้ามาถือหุ้นเมื่อบริษัทเพิ่มทุนเป็น 80 ล้านบาท)
5.นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ กรรมการและผู้ถือหุ้น บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 3,750 หุ้น (วันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 17,500 หุ้น) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 8,025 หุ้น (ได้รับโอนหุ้นมาจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อ 2 มกราคม 2551 ต่อมาได้โอนหุ้นต่อให้นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ)
6.นายปรีชา หัตถประดิษฐ์ ผู้ถือหุ้น บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 750 หุ้น (วันที่ 24 มิ.ย.51-30 เม.ย.52) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด 750 หุ้น (วันที่ 25 ส.ค.52) ต่อมาเพิ่มเป็น 20,000 หุ้น วันที่ 1 เม.ย.54    
7.พล.ท.อำพล ตุ้มทอง ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 4,500 หุ้น กับ พล.อ.ปริญญา ชัยสุกวัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 4,500 หุ้น ทำธุรกิจร่วมกันในบริษัท นวนคร อินเตอร์เนชั่นแนล การ์ด จำกัด ยามรักษาความปลอดภัยซึ่งมี พล.อ.อัครเดช ศศิประภา (น้องชายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี) ถือหุ้นใหญ่
          ทั้งนี้ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 บัญญัติว่า
          มาตรา 4 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญา กับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจ ปกติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วม กระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
          ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทำความผิดตามที่ บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง
          มาตรา 7 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มี โอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำ ความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวน ใดจะสูงกว่า
          มาตรา 8 ผู้ใดโดยทุจริตทำการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่เสนอนั้นต่ำ มากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิ ที่จะได้รับ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่น ว่านั้น เป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท แม็ส มีเดีย จำกัด

ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม


รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด

ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม


รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับลิค รีเลชั่น จำกัด 

ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อมูลประกอบการเสวนาเปิดหูเปิดตาพลังงาน : ขายหุ้น ปตท. คนไทยได้ หรือเสีย




บทเรียนจากการแปรรูป ปตท.


ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่แปรรูปโดยใช้ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารที่จะล้มเลิก พ.ร.บ.จัดตั้งรัฐวิสาหกิจได้โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา ปตท.นำหุ้นเข้ากระจายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งหุ้นของ ปตท.ถูกจองหมดภายในเวลาเพียง 1 นาทีเศษๆ จากราคา IPO ที่ 35 บาท/หุ้น ปัจจุบันราคาหุ้น ปตท.พุ่งสูงขึ้นถึง 339 บาท/หุ้น (ข้อมูลล่าสุด 1 ก.พ. 2555)

วัตถุประสงค์ที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแปรรูป ปตท.


จากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการสาธารณูปโภคเพื่อประชาชน กลายเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ในขณะที่เป้าหมายในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพสู่มาตรฐานสากล ความโปร่งใส และการเพิ่มการแข่งขันการให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ในการแปรรูปกลับไม่เกิดขึ้นตามที่มีการกล่าวอ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแข่งขันให้บริการประชาชน

ก่อนการแปรรูป ปตท. เมื่อปี 2544 ได้มีการให้คำมั่นสัญญาที่จะดำเนินการเมื่อมีการนำหุ้น ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว คือ

  1. จะมีการแยกธุรกิจท่อส่งก๊าซออกจากธุรกิจส่วนอื่น ภายใน 1 ปี เพื่อเปิดทางให้มีการแข่งขัน ลดการผูกขาดการจัดหาก๊าซ
  2. จะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ สาขาก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
  3. จะประกันผลตอบแทนการลงทุนขยายท่อก๊าซของ ปตท. (IRROE) = 16%

แต่ปรากฏว่า 3 ปีให้หลังการแปรรูป กลับไม่มีการแยกธุรกิจท่อส่งก๊าซออกจากบริษัท ปตท. และเปิดให้มีการแข่งขันในธุรกิจการจัดหาก๊าซ ไม่มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ บริษัท ปตท.ยังคงเป็นผู้ผูกขาดในธุรกิจท่อส่งก๊าซเช่นเดิม สิ่งที่รัฐบาลกระทำตามสัญญามีเพียงประการเดียวคือ การประกันผลตอบแทนการลงทุนของ ปตท. ในอัตรา 16%




นอกจากผู้ถือหุ้นบริษัท ปตท. ที่ได้รับประโยชน์เป็นกอบเป็นกำจากการแปรรูป ปตท. แล้ว พนักงานบริษัท ปตท. เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ดังจะเห็นได้จากตารางต่อไปนี้






โครงสร้างธุรกิจของบริษัท ปตท.


ธุรกิจของบริษัท ปตท. แบ่งออกเป็น 3 ธุรกิจหลัก คือ

  1. ธุรกิจน้ำมัน
  2. ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
  3. ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น

โดยรายได้ส่วนใหญ่ของ ปตท. มาจากธุรกิจน้ำมัน แต่ส่วนที่เป็นกำไรหลักจริงๆ นั้น มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ

ปี 2553


ปตท.มีรายได้จากการขาย 1,900,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20


มี EBITDA จำนวน 167,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17


และกำไรสุทธิ 83,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40

บริษัท ปตท.เป็นผู้ผูกขาดรายเดียวของประเทศในการดำเนินการธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ นั่นหมายความว่า ปตท.เป็นผู้ผูกขาดในการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตเพื่อจำหน่ายต่อให้แก่ผู้ใช้ก๊าซกลุ่มต่างๆ คือ กฟผ. โรงไฟฟ้า IPP และ SPP และภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจต้นน้ำ คือการขุดเจาะก๊าซ บริษัท ปตท. ก็มีบริษัทลูกคือ ปตท.สผ. เป็นผู้ประกอบการสำรวจและขุดเจาะก๊าซปิโตรเลียม โดยปัจจุบัน ปตท.สผ. เป็นผู้มีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในประเทศไทย




ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้น


น้ำมัน ก่อนการแปรรูป ปตท.เคยมีบทบาทหลักในการตรึงราคาน้ำมันในภาวะที่ราคาในตลาดโลก แต่หลังจากแปรรูป ปตท.แล้ว เมื่อรัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาน้ำมัน รัฐต้องใช้กองทุนน้ำมันในการตรึงราคาน้ำมัน ในขณะที่การบริโภคน้ำมันไม่ได้ลดลงตามกลไกราคาที่แท้จริง เพราะเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง รัฐบาลก็จะไม่สามารถลดราคาน้ำมันในประเทศได้ เนื่องจากต้องหาเงินไปชดเชยกองทุนน้ำมัน โดยสรุปแล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการตรึงราคาน้ำมันก็คือ ปตท. ในฐานะผู้ขายน้ำมัน




ก๊าซหุงต้ม ก่อนการแปรรูปรัฐบาลใช้นโยบายตรึงราคาก๊าซหุงต้มเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ก๊าซในราคาถูก แต่ในปี 2544 ซึ่งมีการแปรรูป ปตท. รัฐบาลได้ประกาศราคาก๊าซหุงต้มลอยตัว ทำให้ราคาสูงขึ้น ก๊าซหุงต้มถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชั้นล่าง และส่วนหนึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถแท็กซี่ แต่ก๊าซหุงต้มถือเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง และ ปตท.กำลังหาช่องทางที่จะจำหน่ายเป็นสินค้าส่งออก ซึ่งในอนาคตผู้บริโภคอาจได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นอีก

กำไรมหาศาลของ ปตท. ตกอยู่ที่ใคร ?


ปัจจุบันหุ้นของ ปตท.และบริษัทในเครือมีมูลค่ารวมมาก เฉพาะส่วนของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ 51.15% และมีเอกชนรายใหญ่จำนวน 12 รายถือหุ้นรวม 28.73% ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีจำนวนกว่า 32,548 ราย (ข้อมูลล่าสุด 1 ก.พ. 2555)






รายชื่อผู้ถือหุ้นปตท. หลังแปรรูป ปี 2544


1. นางสุวิมล มหากิจศิริ



2. นายสุธี มีนชัยนันท์





แหล่งที่มา

http://www.thaingo.org/cgibin/content/content1/show.pl?0246


http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9530000121034



http://www.manager.co.th/politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000121199


http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=PTT&language=th&country=TH


คลิปเสวนา









คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง