| หลัง 
จากที่รัฐบาลดำเนินนโยบาย ชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน 1 ปี  
เป็นผลทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งราคาอยู่ที่ลิตรละ 34.77 บาท  
นั้นต่ำกว่าทั้งแก๊สโซฮอล์ 95 ซึ่งอยู่ที่ลิตรละ 37.04 บาท และแก๊สโซฮอล์  
91 อยู่ที่ลิตรละ 34.54 บาท ทำให้  
ผู้ใช้รถส่วนใหญ่หันไปเติมน้ำมันเบนซิน 91  
กันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนชนิดที่ปั้มน้ำมันต้องแขวนป้าย เบนซิน 91  
หมดจากท้องตลาดอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มประกาศราคาดังกล่าว 
 โรงงานเอทานอลจำนวนมากซึ่งใช้วัตถุดิบผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 
 ต้องผวาไปตามๆ กันเพราะถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 6 เดือนหรือ 1 ปี
  มีหวังต้องปิดโรงงานเอทานอลกันทั่วหน้า  
และราคาพืชผลทางการเกษตรที่ใช้ในการผลิตเอทานอลจะตกต่ำไปตามๆ กัน
 
 ราคาที่เป็นอยู่นี้ทำให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าเบนซิน 95 เพียง 6.75%
  แต่แก๊สโซฮอล์ 91 กลับแพงกว่าน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ประมาณ 23  
สตางค์หรือประมาณ 0.66%
 
 ปตท. และ บางจาก จึงต้องรีบนำร่องลดราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ลงอีก 60 สตางค์ ทำให้ แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 36.44 บาท และแก๊สโซฮอล์ 91 เหลือ 33.94 บาท โดยหวังผลในทางจิตวิทยาว่า อย่างน้อยแก๊สโซฮอล์ 91 ก็ยังจะถูกกว่าเบนซิน 91 ประมาณ 2.39%
 
 แม้ว่าผู้ใช้น้ำมันส่วนใหญ่อาจจะมองเรื่องราคาต่ำกว่าเป็น 
หลัก  
แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยประสิทธิภาพของน้ำมันเบนซินที่สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 
นั้นจะต้องมีส่วนต่างห่างกัน 20-30% จึงจะเกิดแรงจูงใจในการใช้พลังงานทดแทน
 
 เมื่อจะเลือกวิธีชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน  
จึงต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากรณีส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ 
อย่างเร่งด่วน ซึ่งมีหลายแนวทาง เช่น 1.  
เพิ่มภาษีสรรพสามิตในส่วนของน้ำมันเบนซินให้สูงขึ้น 2.  
ลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ให้ลดลง 3.  
เพิ่มทั้งภาษีสรรพสามิตในส่วนของน้ำมันเบนซินและลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ 
ให้ลดลง 4. ลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์หรือเพิ่มราคาน้ำมันเบนซินขึ้นไปอีก เพื่อทำให้ส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์กับเบนซินห่างกัน 20-30%
 
 สิ่งเหล่านี้ก็คือวิธีและเทคนิคการลดรายจ่ายให้กับประชาชน ด้วยการลดราคาน้ำมัน ด้วยวิธี “ชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน 1 ปี ใช้เงิน 74,000 ล้านบาท โดยเตรียมกู้เงินอีก 20,000 ล้านบาทในต้นปีหน้า” เพื่อให้ราคาน้ำมันลดลงตามที่สัญญากับประชาชน และ “เตรียมลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์และ/หรือเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน” เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์
 
 แต่ที่น่าสังเกตก็คือ วิธีการชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน  
และลดหรือเพิ่มภาษีสรรพสามิต  
เป็นวิธีการลดราคาน้ำมันโดยไม่กระทบต่อกระเป๋าผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท.  
จำกัด (มหาชน) เลยแม้แต่น้อย  
ซ้ำร้ายยังจะเป็นการส่งเสริมให้คนได้ใช้น้ำมันช่วยกันผลาญพลังงานชาติอย่าง 
สนุกสนานด้วย
 
 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามนโยบายรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังระบุเอาไว้ในข้อ 1.8.4 ที่จะให้มีมาตรการทางภาษีให้กับ “ภาษีรถยนต์คันแรก” ก็ย่อมเชื่อได้ว่าคนไทยจะเร่งใช้น้ำมันกันมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
 
 ผลก็คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นโดยเอกชน  
(ซึ่งมีญาติพี่น้องนักการเมืองถือหุ้นอยู่) ร้อยละ 49 รวยขึ้น  
และบริษัทผลิตรถยนต์ก็จะรวยขึ้นด้วย!?
 
 และคงต้องตั้งคำถามอีกด้วยว่า นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลชุดนี้มีใคร  
ลูกหลานญาติพี่น้องใครถือหุ้นอยู่ใน ปตท. และบริษัทผลิตรถยนต์  
กันมากขนาดไหน?
 
 ผลก็คือทำให้คนไทยเร่งใช้พลังงานกันมากขึ้น  
เมื่อเร่งใช้พลังงานกันมากขึ้นก็จะได้ใช้เป็นข้ออ้างอีกชั้นหนึ่งว่าประเทศ 
ไทยมีทรัพยากรจำกัด  
จำเป็นต้องเร่งเจรจาผลประโยชน์ในอ่าวไทยกัมพูชาให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งเอา 
พลังงานมาใช้ให้เร็วที่สุด จริงหรือไม่?
 
 เมื่อทุกคนเร่งใช้พลังงานกันให้มากขึ้น  
ก็จะได้มีข้ออ้างในการที่จะล้วงเงินจากทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนแหล่ง 
พลังงานใหม่นอกประเทศไทย ใช่หรือไม่?
 
 จึงควรต้องหันมาทบทวนกันสักหน่อยว่า ที่ผ่านมา ปตท.แปรรูป  
ต้องปันผลให้กับเอกชน โดยอ้างว่าเราจำเป็นต้องหาแหล่งทุนโดยไม่ต้องมีการกู้
  ผลการแปรรูปไป 49%  
ให้กับเอกชนรวมเหล่าญาติโกโหติกาของนักการเมืองจำนวนมากนั้น ปรากฏว่า  
ปตท.ได้เงินเพียง 28,000 ล้านบาท แต่ตลอดนับตั้งแต่ ปตท.แปรรูปในปี 2544  
มาจนถึงสิ้นปีนี้ ปตท.จะมีกำไรสุทธิสะสมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาถึง 741,383  
ล้านบาท หากเฉลี่ย 10 ปี ก็ปีละ 74,138 ล้านบาท
 
 หมายความว่าการแปรรูป ปตท. ปตท.ได้เงินมาลงทุน 28,000  
ล้านบาท แต่ต้องปันผลให้กับเอกชน 49% ไปแล้วตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 
 350,000 ล้านบาท และรัฐบาลไทยจะสูญเสียรายได้ต่อไปอีกไม่มีวันจบสิ้น
 
 โดยดูจากตัวเลขปี 2554 นี้ ปตท.น่าจะมีกำไรสุทธิก้าวกระโดดขึ้นเป็นปีละ 120,000 ล้านบาท!!!
 
 ในขณะที่ประเทศไทยได้ค่าภาคหลวงต่ำเพียงแค่ 12.5% ต่ำกว่าพม่า,  
กัมพูชา อินโดนีเซีย  
จึงน่าสงสัยว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการเร่งขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าว 
ไทยนั้น ใครเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์กันแน่?
 
 1. พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชามากเกินความเป็นจริง โดย
 ฝ่ายไทยลากเส้นเขตไหล่ทวีปแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง  
แล้วจึงลากเส้นตามแบ่งกึ่งกลางระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อ พ.ศ. 2516  
ในขณะที่กัมพูชาลากเส้นเขตไหล่ทวีปมั่วๆ  
ตามอำเภอใจประชิดและอ้อมเกาะกูดทั้งๆ  
ที่เป็นการลากเส้นที่รุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดของไทย
 
 การแบ่งน้ำมันโดยนับจากเส้นละติจูด 11  
องศาเหนือลงมาเพื่อแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงาน  
โดยไม่สนใจการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชา  
แล้วไปยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนนั้นจึงเป็น 
เรื่องที่ฟังไม่ขึ้น  
หากจะมีความพยายามแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยยังพยายามทำกันอยู่ คือ
  พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนใกล้ฝั่งไทยให้ไทยได้ 90% กัมพูชาได้ 10%  
พื้นที่ตรงกลางแบ่งกันระหว่างไทย-กัมพูชา 50% ต่อ 50%  
และพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนใกล้ฝั่งกัมพูชาให้กัมพูชาได้ 90% และไทยได้  
10% (ตามภาพที่ 1) นั้นสมควรหรือไม่ ถ้าพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนมันกินเข้าในฝั่งไทยมากเกินความจำเป็น ย่อมเท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา ใช่หรือไม่?
 
 หรือแท้ที่จริงแล้วประเทศไทยควรจะต้องตั้งหลัก  
สร้างพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนบนพื้นฐานความเป็นธรรมที่สามารถอธิบายด้วย 
หลักวิชาและมีแนวคิดสนับสนุนอย่างมีเหตุผลเสียก่อน (ตามภาพที่ 2 หรือ 3)  
แล้วจึงค่อยมาแบ่งพลังงานในอ่าวไทยทีหลัง
 
 | 
 | 
  | 
 |   |  | ภาพ 1 :  แสดงการเตรียมแบ่งผลประโยชน์ในอ่าวไทยตามพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาเกินความเป็นจริง (พื้นที่สีเขียว) ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยกเลิก MOU 2544 ให้เสร็จในระยะเวลา 2 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา และรัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะสานต่อ |  |   |  |  
 | 
 | 
  | 
 |   |  | ภาพที่ 2 :  
แสดงภาพพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเริ่มจากการแบ่งครึ่งมุมเกาะกูดและเกาะ 
กง และใช้เส้นมัธยะของไทยแล้วจึงนับพื้นที่ที่มีโอกาสทับซ้อนอันเกิดจากผลของเกาะนอกฝั่งกัมพูชาเพียง 50% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ที่จะแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชา (พื้นที่สีเขียว) ลดลงจากพื้นที่ตาม MOU 2544 |  |   |  |  
 | 
 | 
2. 
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกหากยากขึ้นทั่วโลก  
นับวันก็จะมีคุณค่าและมีมูลค่าแพงขึ้นทุกวัน  
(เสมือนทองคำผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนที่อยู่ในคลังหลวง)
   
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจที่พยายามขุดเจาะสำรวจและสูบพลังงานจากทั่ว 
โลกถึงขั้นเข้าทำสงคราม  
แต่ในอีกด้านกลับสำรองและชะลอการใช้พลังงานในประเทศตัวเองให้มากที่สุดและ 
รักษาให้นานที่สุดเพื่อที่จะเป็นมหาอำนาจและสร้างอำนาจต่อรองในอนาคต  
ในขณะที่ประเทศไทยจะเร่งสัมปทานให้ขุดเจาะสูบพลังงานในอ่าวไทยทั้งๆ  
ที่ชาติได้ผลตอบแทนต่ำมาก ทั้งในแง่ภาคหลวงที่ต่ำติดดิน  
และกลายเป็นประเทศที่ส่งออกพลังงานซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติไปให้ต่างชาติใช้
 สอย จนไม่รู้ว่าสัมปทานไปแล้วใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์?  | 
 |   |  | ภาพที่ 3 :  
แสดงภาพพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเริ่มจากการแบ่งครึ่งมุมเกาะกูดและเกาะ 
กง และใช้เส้นมัธยะของไทยแล้วจึงนับพื้นที่ที่มีโอกาสทับซ้อนอันเกิดจากผลของเกาะนอกฝั่งกัมพูชาเพียง 33.33% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ที่จะแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชา (พื้นที่สีเขียว) ลดลงอย่างมาก |  |   |  |  
 3.  
ที่ผ่านมาประเทศไทยเร่งแบ่งสัมปทานการขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยให้กับสหรัฐ 
อเมริกาเป็นจำนวนมาก ทั้งยูโนแคล และเชฟรอน  
ในแง่ยุทธศาสตร์การเมืองและผลประโยชน์ระหว่างประเทศจึงขาดสมดุลในการคานอำนาจระหว่างมิตรประเทศ จึงทำให้พวกน้อยลง
  ความน่าสนใจในเชิงผลประโยชน์ก็น้อยลง  
ตรงกันข้ามกับกัมพูชาซึ่งให้ขุดเจาะสำรวจน้ำมันและก๊าซช้ากว่ากลับมีแรงจูง 
ใจและสร้างพวกได้มากกว่าในเวทีนานาชาติ นักการเมืองไทยที่ผ่านมา 
ส่วนใหญ่จึงมองสั้นกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวในยุครัฐบาลตัวเอง  
มากกว่าการคำนึงถึงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศระยะยาว
 
 4. ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคและประชาชน  
และประเทศชาติเสียประโยชน์อย่างยิ่งจากการแปรรูป ปตท.  
รัฐบาลได้ค่าภาคหลวงที่ต่ำ  
ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐกลายเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทในเครือของ  
ปตท.กลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเอื้อประโยชน์ให้กับ  
ปตท.และบริษัทในเครือรวยขึ้นพร้อมๆ กับผู้ถือหุ้นที่รวยขึ้นอย่างมหาศาล  
บนความเดือดร้อนของประชาชนไปทุกหย่อมหญ้า การเร่งสูบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบนโครงสร้างเช่นนี้จึงไม่เป็นธรรมกับประเทศชาติและประชาชน
 
 ดังนั้นการเร่งสูบพลังงานในอ่าวไทยมาใช้ให้เร็วที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ ที่
 เห็นได้ประโยชน์กันเต็มๆ ก็คือ นักการเมือง ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารของ ปตท. 
 และบริษัทในเครือ ตลอดจนประเทศกัมพูชา  
อีกทั้งบริษัทต่างชาติที่กำลังสวาปามสูบทรัพยากรของชาติกันให้รวยจนพุงปลิ้น
 | 
 | 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น