โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ในช่วงเช้า นายพิชัย ได้เข้าพบนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี และนายซุน เซม รัฐมนตรีอุตสาหกรรม เหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชา ในขณะที่นายสุรพงษ์ ได้เข้าพบนายฮอ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ
นายพิชัย เผยว่า ได้หารือกับนายซก อาน เรื่องการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าและการเจรจาพื้นที่ปิโตรเลียมคาบเกี่ยว ซึ่งนายซก อาน ต้องการเร่งรัดให้เกิดความรวดเร็ว และต้องการให้จบภายใน 1 ปีครึ่ง เพราะเจรจาล่าช้ามานาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเป็นประโยชน์แก่ทั้ง 2 ประเทศ สร้างความมั่นคงด้านพลังงานโดยในส่วนของไทยเห็นด้วยที่จะหารือให้จบโดยเร็ว
แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นประธานคณะเจรจาว่าจะเจรจาให้จบอย่างไร หากจบเร็วก็จะพัฒนาได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเช่นเดียวกับพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-มาเลเซีย หรือ ไทย-เวียดนาม ซึ่งขอยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่เบื้องหลัง เพราะบริษัทผู้เข้ามาลงทุนก็เป็น บมจ.ปตท. บมจ.ปตท.สผ.ซึ่งรัฐบาลถือหุ้นใหญ่
“ช่วงไปพม่าก็มีข้อครหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้ประโยชน์จากการเข้าไปถือหุ้นในแหล่งปิโตรเลียม แต่ท่านทักษิณ ก็ยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้มีหุ้นในกลุ่ม ปตท.แต่อย่างใดก็ขอฝากว่าการมองอะไรนั้นควรจะมองถึงผลประโยชน์ระยะยาวของ ประเทศไทยจะดีกว่า” นายพิชัย กล่าว
ด้านนายสุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยเห็นด้วยที่จะเร่งรัดเจรจาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อน ให้เสร็จโดยเร็ว แต่ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้ โดยเร็ว ๆ นี้ จะเสนอต่อที่ประชุม ครม.ว่าจะเห็นชอบตามมติ ครม.ของรัฐบาลชุดที่แล้วหรือไม่ที่ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 2544 หากเห็นชอบ ก็จะเสนอต่อรัฐสภาให้ยกเลิก แล้วหาข้อตกลงใหม่ในการเริ่มเจรจา ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่ต้องฝากไปยังสมาชิกรัฐสภาว่า การอภิปรายเรื่องนี้ขอให้มองถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
แต่หาก ครม.มีมติให้คงใช้ เอ็มโอยู 2544 ก็จะเริ่มเจรจาตามกรอบดังกล่าว หากเจรจาเสร็จเร็ว ขั้นตอนก็จะต้องใช้เวลาในการพัฒนาก๊าซขึ้นมาใช้อีกเป็นเวลานานนับ 10 ปี เช่น ไทย-มาเลเซียใช้เวลาถึง 20 ปี
รมว.พลังงานหนุน เอ็มโอยู ปี 44 เดินหน้าแบ่งปันผลประโยชน์อ่าวไทยของไทย-กัมพูชา ลั่นมีก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนใช้ได้อีก 30-40 ปี
ทั้งนี้ หากครม.เห็นชอบให้เดินหน้าต่อก็ต้องนำเข้าสู่การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อ พิจารณา อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องนี้ควรเดินหน้าต่อ เพราะอีกไม่ถึง15 ปี ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยก็จะหมดลง และเราต้องนำเข้าทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทั้งก๊าซ และไฟฟ้า ซึ่งหากเดินหน้าโครงการนี้ต่อก็จะทำให้เรามีก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อน ใช้ได้อีก 30-40 ปี ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของคนไทยไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง รวมถึงการพัฒนาโรงไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมีคอลร่วมกันด้วย