บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เตือนรัฐบาลรักษาผลประโยชน์ชาติ ขุมทรัพย์พื้นที่ทับซ้อน

เตือนรัฐบาลรักษาผลประโยชน์ชาติ ขุมทรัพย์พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา



ยัง เป็นมหากาพย์เรื่องยาวนับ 10 ปีที่ไม่สามารถเขียนบทจบได้ ...กับเรื่องราวการแบ่งขุมสมบัติอันมหาศาลระหว่างไทยกับกัมพูชา ในพื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนไทย-กัมพูชา บริเวณตอนกลางอ่าวไทยพื้นที่ขนาด 26,000 ตร.กม. ที่ทั้งสองประเทศต่างไม่ยอมเสียเปรียบเพราะต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิในการเป็น เจ้าของ
   
หลังจากเงียบอยู่นานเรื่องนี้ได้กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจาก “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พลังงาน ได้ขายไอเดียว่าจะนำเงินสำรองระหว่างประเทศ 1.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งก้อนใหญ่มาตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ซื้อแหล่งพลังงานต่างประเทศ รวมถึงสินทรัพย์ที่มั่นคง เช่น ทองคำ เงินสกุลหยวน รวมทั้งเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อนำก๊าซขึ้นมาใช้  แม้ว่าในวันนั้นรัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายก็ตาม
   
แต่ในระหว่างบรรทัดของไอเดียของ รมว.พลังงานคนใหม่ ปรากฏข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พี่ชายของนายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบัน ได้เดินทางไปกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อพบกับสมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา และ พลเอกเตีย บันห์ รองนายกฯและรมว.กลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งนำนักธุรกิจ นักลงทุนต่างประเทศ เพื่อประชุมเกี่ยวกับธุรกิจพลังงานในกัมพูชา
   
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังช่วยรัฐบาลไทยเจรจากับกัมพูชา เพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา บริเวณอ่าวไทย ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มีกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เข้าไปลงทุนร่วมกับกัมพูชาด้วย
   
ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า ’พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชามีอะไรน่าสนใจ“ ถึงกับคนระดับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเร่งรีบดำเนินการแบบออกหน้าออกตา หลังจากเรื่องนี้เกือบได้ข้อตกลงในช่วงที่ “พ.ต.ท.ทักษิณ” เป็นนายกฯ แต่ถูกปฏิวัติในปี 49 ซะก่อน
    
ว่ากันว่าสองฝ่ายเห็นพ้องกัน ในหลักการแบ่งรายได้ ดังนี้ พื้นที่ใกล้ไทยมากที่สุด ไทยได้รับผลประโยชน์  80% กัมพูชา 20%  ส่วนพื้นที่ตรงกลางแบ่ง 50%-50% และพื้นที่ใกล้ฝั่งกัมพูชา ไทยได้ 20% กัมพูชา 80%  ซึ่งในเวลานั้นหากรัฐบาลทักษิณอยู่ต่ออีก 6-7 เดือนคาดว่าจะเจรจาตกลงกันได้แน่นอน
   
คำตอบง่าย ๆ...คือในพื้นที่ 26,000 ตร.กม.ถือว่าเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลที่นักลงทุนด้านพลังงานระดับขั้นเทพเห็น ข้อมูลแล้วเป็นน้ำลายไหลทุกราย เพราะเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพที่ยังประเมินปริมาณไม่ได้ แต่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต เรียกว่าสามารถสร้างกำไรแก่ผู้เข้าไปลงทุนเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ประชาชนของทั้งสองประเทศก็สามารถนำก๊าซฯ มาใช้ได้อีก 30-40 ปี
   
แม้แต่ธนาคารโลกเคยประเมินว่าแหล่งพลังงานในไหล่ทวีปกัมพูชารวมถึงพื้นที่ ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาไว้ว่าน่าจะมีน้ำมัน 2,000 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต 
   
ทั้งนี้ รมว.พลังงาน ’พิชัย“ ให้เหตุผลว่า การหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในอนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่จะมีก๊าซให้ใช้อีกไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี หากทั้งสองประเทศตกลงกันได้ ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ  เพราะแหล่งนี้มีเนื้อก๊าซที่มีคุณภาพดีกว่าก๊าซในอ่าวไทย เพราะมีสัดส่วนปิโตรเคมีที่สามารถนำขึ้นมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีมูลค่ามากกว่าเนื้อก๊าซที่จะนำมาผลิตไฟฟ้าได้ถึง 9-20 เท่า
   
ที่สำคัญอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโรงแยกก๊าซ ซึ่งทำให้รายได้ของทั้ง 2 ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดเรื่องนี้ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง แต่ถือเป็นประโยชน์ร่วมกัน เพราะเป็นการพัฒนาร่วมกันด้านปิโตรเคมีในพื้นที่ทับซ้อน เหมือนกับโครงการพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย  (เจดีเอ)    
   
อย่างไรก็ตามในแง่ของผู้ปฏิบัติงาน อย่าง  “ทรงภพ พลจันทร์”  อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ระบุว่า ขณะนี้กำลังจัดเตรียมข้อมูลเรื่องการพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนระหว่าง ไทย-กัมพูชา เสนอต่อ รมว.พลังงานคนใหม่เพื่อพัฒนาแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีในการเจรจาหลังจากประเทศไทยเลือกตั้งเสร็จและ พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เพราะ “ฮอร์ นัมฮง” รมว.ต่างประเทศกัมพูชา พร้อมในการเจรจา
   
โดยที่ผ่านมาได้เจรจาเรื่องนี้มาจนใกล้สำเร็จแล้ว ซึ่งแบ่งพื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตร.กม. ออกเป็น 3 พื้นที่ แต่ยังไม่ทราบว่าปริมาณสำรองที่แท้จริงมีเท่าใด แม้ทางกัมพูชา จะคาดว่ามีประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตก็ตาม แต่คาดว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพราะใกล้แหล่งเอราวัณของไทย โดยแนวทางการบริหารพื้นที่เพื่อแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกันสามารถดำเนินการได้ หลายรูป เช่น การแบ่งพื้นที่ฝ่ายละครึ่ง หรือจัดตั้งบริษัทร่วมขึ้นมาบริหารเช่นเดียวกับ พื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย เป็นต้น
   
หากการเจรจาประสบความสำเร็จทางกัมพูชาจะได้รายได้ในการพัฒนาประเทศ ขณะที่ไทยมีปริมาณสำรองก๊าซ เพื่อความมั่นคงไปได้อีก 30-50 ปี จากที่ในขณะนี้ปริมาณก๊าซในอ่าวไทย เริ่มหมดลง และไม่มีแหล่งขนาดใหญ่เข้ามา ซึ่งปริมาณสำรองในอ่าวไทยเหลืออยู่แค่ประมาณกว่า 10 ปีเท่านั้น
   
แต่ในแง่ความมั่นคงแล้ว  “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ก็ออกมาให้ข้อคิดเห็นอย่างน่าสนใจว่า การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพื้นที่ข้อพิพาทนั้น เป็นเรื่องอนาคตและไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นต้องมีการพิสูจน์หรือพูดคุยกันในเรื่องเส้นเขตแดนต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อน ที่สำคัญต้องทำเรื่องนี้ให้สังคมได้รับรู้รับทราบทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลชุดใดก็ตาม  ซึ่งต้องให้เวลาในการศึกษารายละเอียดบ้าง เพราะว่าการดำเนินการไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญต้องทำอย่างระมัดระวังและยึดหลักรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
    
เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาคัดค้านเรื่องพื้นที่ทับซ้อนตั้งแต่ต้น พร้อมให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการขุดเจาะสำรวจน้ำมันท่าทีของกัมพูชาดีมาก แต่เมื่อมีการสำรวจรู้ถึงปริมาณน้ำมันแบบคร่าว ๆ ปรากฏว่าเพื่อนบ้านก็เปลี่ยนไปทันที โดยกัมพูชาได้อ้างสิทธิในทะเลและขอแบ่งผลประโยชน์น้ำมันในพื้นที่พัฒนาร่วม 90% แบ่งให้ไทยแค่ 10% หากเป็นเช่นนี้ประเทศไทยคงรับไม่ไหวแน่
   
การหาแหล่งพลังงานเป็นเรื่องสำคัญมากที่รัฐบาลและเอกชนต้องเดินหน้าเพื่อรอง รับความต้องการใช้ของคนไทยในอนาคตโดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับ เพื่อนบ้าน แต่การเจรจาต้องให้ประเทศไม่เสียหายและไม่ควรประเคนผลประโยชน์ให้แก่บุคคลใด บุคคลหนึ่ง...ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะเกิดความวุ่นวาย.   

มนัส แวววันจิตร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง