สัมพันธภาพ ฮุน เซน ,ทักษิณและ เชฟรอน
| 
 | 
| 
 | 
|  | 
| 
| 
 |  | ชัย 
ชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน
 มา ไม่เพียงจะทำให้ ฮุน เซน (เพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร)  
ได้แสดงความดีใจอย่างออกหน้าออกตา ด้วยการเป็นผู้  
นำรัฐบาลของต่างประเทศรายแรกที่ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีถึง ยิ่งลักษณ์  
ชินวัตร เท่านั้น หากแต่ชัยชนะดังกล่าวของพรรคเพื่อไทย  
ยังเป็นเสมือนโอสถทิพย์ที่ช่วยชุบชีวิตทางธุรกิจให้กับยักษ์ใหญ่ในวงการ 
ธุรกิจพลังงานของโลกอย่างกลุ่มบริษัทเชฟรอน (Chevron)  
แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้โดยทันทีที่ได้รับทราบผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยอย่างเป็นทางการ 
แล้วนั้น Steve Glick ประธานของกลุ่ม Chevron ถึงกับได้บินตรงจากสหรัฐฯ  
เพื่อไปปฏิบัติภารกิจในกัมพูชาเป็นกรณีพิเศษนับจากต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา
 แล้ว และมีกำหนดที่จะปฏิบัติภารกิจพิเศษดังกล่าวในกัมพูชาเป็นเวลาถึง 3  
เดือนติดต่อกันอีกด้วย
 แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ Steve Glick  
ยังได้ให้การยืนยันต่อสื่อมวลชนเขมรและต่างชาติในกรุงพนมเปญด้วยว่ากลุ่ม  
Chevron จะเดินหน้าการขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในทะเลอ่าวไทยต่อไป  
โดยในเวลานี้ยังคงรอเพียงการอนุมัติสัมปทานจากการปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชา 
เท่านั้น  
ซึ่งก็หมายความว่าทันทีที่การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาได้อนุมัติสัมปทานอย่าง
 เป็นทางการแล้วนั้น กลุ่ม Chevron  
ก็จะประกาศแผนการลงทุนเพื่อสูบน้ำมันและแก๊สฯในทะเลอ่าวไทยขึ้นมาใช้ 
ประโยชน์ในทันทีนั่นเอง
 โดยการแถลงยืนยันดังกล่าวนี้ ถึงแม้ว่า Steve Glick  
จะมิได้เปิดเผยถึงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการลงทุนและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะ 
ได้รับจากการลงทุนที่จะมีขึ้นดังกล่าวก็ตาม แต่การที่เขาได้เน้นย้ำว่ากลุ่ม
  Chevron  
ที่ได้เริ่มทำการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย 
กับกัมพูชาในอ่าวไทยนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา  
และได้ใช้เงินทุนไปแล้วมากกว่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  
เพื่อดำเนินการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯถึง 18 หลุมแล้วนั้น  
ทั้งยังได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานจากการปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชา 
อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010 เป็น ต้นมาด้วยแล้ว  
ย่อมถือเป็นหลักประกันได้ว่ากลุ่ม Chevron  
นั้นจะไม่ยอมละทิ้งผลประโยชน์อันพึงจะได้รับจากน้ำมันและแก๊สฯในส่วนนี้ไป 
อย่างแน่นอน
 ก่อนหน้านี้ ฮุน เซน  
ได้หลุดปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษา
 
จากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขานั้นได้กำหนดกรอบเวลาให้กลุ่ม
  Chevron ดำเนินการขุดค้น และนำเอาน้ำมันหรือแก๊สฯ  
ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012  
หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกถอนสัมปทานในทันที
 พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ  
ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชาให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา 
ร่วมทุนกับกลุ่ม Chevron ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯ ดังกล่าวเป็น การเฉพาะ 
 ทั้งยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO  
Engineering จากญี่ปุ่น  
เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกใน 
กัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO  
ตัดสินใจลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นฯดังกล่าวในระยะต่อไป ทั้งนี้โดย ฮุน เซน  
ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยน้ำมันและแก๊ส 
ธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้อีก 
ด้วย
 ครั้นเมื่อมองเห็นเป้าหมายของ ฮุน เซน อย่างชัดเจนเช่นนี้กลุ่ม Chevron  
ก็ได้ร่วมกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่น และกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้  
เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯ  
ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาอย่างขนานใหญ่  
และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับผลที่ได้รับจากการสำรวจในระยะที่
 ผ่านมาก็ตาม แต่การที่กลุ่ม Chevron  
ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานการขุดค้นจาก  
การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010  
เป็นต้นมาแล้วนั้นก็ย่อมจะถือเป็นคำตอบ  
ทั้งก็ยังถือเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าวของ ฮุน เซน  
ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
 ทั้งนี้โดยกลุ่ม Chevron พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และกลุ่ม GS Caltex  
ได้ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ  
และได้ทำการขุดเจาะเพื่อสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯในเขตสัมปทาน A  
ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งทะเลของเขตจังหวัดสีหนุวิลล์ทางภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 
 150 กิโลเมตรนั้น พบว่า 4 ใน 15  
หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง
 ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10  
รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯ  
ในทะเลอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว
  โดยในที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย  
การปิโตรเลี่ยมแห่งสิงคโปร์ และยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนอย่าง China  
National Offshore Oil Corp ด้วย
 ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)  
ยังได้แสดงการเชื่อมั่นว่าน้ำมันและแก๊สฯในกัมพูชา  
และในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยด้วยนั้นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000  
ล้านบาร์เรลและมีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต  
หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ IMF  
ได้ประมาณการว่าหากได้มีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้
 รัฐบาลของ ฮุน เซน มีรายได้มากกว่า 175  
ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700  
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อได้ดำเนินการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแล้วเสร็จนั้น  
ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องเร่งผลักดันแผนการนี้ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
 อย่างไรก็ตาม  
สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน
 พลังงานทั้งหลายในระยะเวลากว่า 3 ปีมานี้  
ก็คือความขัดแย้งระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชาที่ว่าด้วยพื้นที่พิพาทใน
 เขตปราสาทพระวิหาร  
และการที่ทางการของทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการแบ่งปันผล
 ประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน  
ซึ่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตรในเขตอ่าวไทยนั้น
 โดยถึงแม้ว่าทางการไทยและกัมพูชา (ทักษิณ กับ ฮุน เซน)  
จะเคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2549  
โดยตกลงแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน  
โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ก็ตาม
  แต่ส่วนที่ยังตกลงกันไม่ได้  
ก็คือเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยและเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง 
ของกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายไทยนั้นเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40  
คือใกล้ชายฝั่งของฝ่ายไหน  
ฝ่ายนั้นก็จะได้ส่วนแบ่งมากกว่าแต่ฝ่ายกัมพูชากลับต้องการให้แบ่งผลประโยชน์
 เป็น 90 ต่อ 10 เพราะ ฮุน เซน  
เชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณน้ำมันและแก๊สฯ
 มากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง
 ครั้นเมื่อ ฮุน เซน  
ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ  
(ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น  
ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง
 สภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012  
อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ 
 (National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน  
นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็ว 
ที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน  
ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน 
 เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20  
และส่วนที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้ 
คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป
 ยิ่งเมื่อประกอบกับการที่ Steve Glick ประธานกลุ่ม Chevron  
ก็กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจพิเศษอยู่ในกัมพูชา  
ทั้งยังเป็นช่วงเดียวกันกับการที่เพื่อนรักอย่าง ทักษิณ  
ผู้โคลนนิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัวจริงนั้น  
ก็มีภารกิจพิเศษที่กัมพูชาด้วยแล้ว  
จึงนับเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะเจาะกันเป็นอย่างยิ่งในอันที่จะทำให้ผล 
ประโยชน์ก้อนโตที่ ฮุน เซน  
วาดหวังไว้นั้นจะตกอยู่ในอุ้งมือของเขาในเร็ววันนี้เป็นแน่และหากเป็นเช่น 
นั้นจริงก็ยังหมายถึงหลักประกันที่จะทำให้ ฮุน เซน  
สามารถครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ต่อไปอีกนานหรือจนกว่าชีวิตจะหา
 ไม่นั่นเอง!!!
 
 โดย  ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
 |  | 
| 
 | 
 
 
 
          
      
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น