แต่ประชาชนทั่วไปผู้ใช้รถใช้ถนนอาจจะระริกระรี้ดีใจคิดว่าเป็นฝีมือของ
รัฐบาลนี้จึงทำให้ได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง แท้ที่จริงแล้ว “ส่วนต่าง” 
ของราคาน้ำมันที่แท้จริงนั้นเป็นของผู้ใช้รถใช้น้ำมันมาตั้งแต่ต้นนานแล้ว 
แต่รัฐบาลใช้อำนาจทางปกครองยึดเอาของพวกเราไปตั้งนานแล้วต่างหาก 
ตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2516 
แต่ในช่วงนั้นไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนแบบถาวร 
จนกระทั่งมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2546 
เป็นต้นมาจึงมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอย่างถาวร 
โดยผู้ใช้รถนั่งทำตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้ 
ปล่อยให้รัฐบาลใช้อำนาจเอาเงินจากกระเป๋าผู้ใช้รถไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการ
เมืองโดยพละการ
     
แม้ตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 
ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี 
ในการออกคำสั่งในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง 
เพื่อจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันของโลก ครั้งที่
 1 (พ.ศ.             2516-2517      ) แต่ก็ควรดำเนินการในช่วงสั้น ๆ 
ที่มีปัญหาวิกฤตการณ์น้ำมัน 
มิใช่ปล่อยให้มีการเก็บกันยาวเอาเงินของผู้ใช้รถไปปู้ยี่ปู้ยำได้ตามอำเภอใจ
 ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2546 (สมัยนายทักษิณ
 ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี)
     
คิดกันง่าย ๆ เงินส่วนต่างของน้ำมันเบนซินกว่า 8 บาทที่ลดลงมา 
ในสมัยก่อนรัฐบาลยึดเอาของผู้ใช้รถที่เติมน้ำมันเบนซินไปทุกลิตรที่เติมกว่า
 28 ล้านคัน เพื่อนำไปเกลี่ยให้กับผู้ใช้รถที่เติมน้ำมันดีเซล 
ได้ผลาญน้ำมันกันได้อย่างย่ามใจ 
เพราะมีพวกรถที่เติมน้ำมันเบนซินคอยออกเงินส่วนต่างให้ 
และชดเชยให้กับรถที่เติมก๊าซธรรมชาติทั้ง LPG และ NGV 
โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการช่วยลดต้นทุนการผลิต 
จะได้ไม่ต้องทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น ทั้ง ๆ 
ที่รถบรรทุกที่เติมน้ำมันดีเซลนั้นมีจำนวนเพียง 2,419 คน 
(ไม่รวมรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งอีก 9.7 แสนคัน) 
เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่เติมน้ำมันดีเซลที่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีถึง 5 
ล้านกว่าคัน หรือรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 
กับรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล 
จึงถือได้ว่านโยบายการมีกองทุนน้ำมันเป็นการนำเงินของผู้ใช้รถเบนซินไป
ประเคนให้คนใช้รถดีเซลและก๊าซธรรมชาติ อย่างไร้ความเป็นธรรมโดยชัดแจ้ง
     
ปัญหาความไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ถ้าจะถามรัฐบาลว่ารู้ไหม 
คำตอบคือ รู้แต่เพราะรัฐบาลถืออำนาจรัฐอยู่ 
จึงผยองที่จะใช้อำนาจทางปกครองดำเนินการใด ๆ ก็ได้ 
หากทำไปแล้วได้ประโยชน์ทางการเมือง เป็นที่พอใจของนายทุนเจ้าของรถขนส่ง 
รถบรรทุก แม้จะละเมิดกฎหมาย 
ก็คงคิดว่าไม่มีใครกล้ามาแตะต้องอำนาจรัฐเป็นแน่แท้ 
หรืออาจจะไม่มีปัญญาที่จะจัดการแก้ไขได้ 
เพราะมีข้อยุ่งยากเยอะและอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองก็เลยไม่
บริหารจัดการเสียเลยดีกว่า
     
ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 30 บัญญัติไว้ว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม”
 จะกระทำมิได้ แต่หลังจากที่รัฐธรรมนูญ 2550 ประกาศใช้ 
รัฐบาลทุกสมัยที่ผ่านมาต่างก็รู้แต่แสร้งเอาหูทวนลม 
เพราะไม่มีใครกล้าท้วงติง จึงได้ใจเสมอมา 
ล่าสุดยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือให้กับนักการเมือง 
ที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ใช้เป็นเครื่องมือประกาศ วิสัยทัศน์ 
2020 ณ สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะประกาศ 
“ยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทันที” แต่ ณ 
วันนี้สัจจะวาจาดังกล่าวกลายเป็นโอละแม่ไปแล้ว 
เมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นเครื่องมือหาเสียงให้กับนักการเมือง
ฝ่ายรัฐบาลไปแล้ว 
เพื่อสร้างประชานิยมบนความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนหลายประการ
     
เรื่องดังกล่าว 
นอกจากจะเป็นการสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้ใช้รถเบนซินตลอดระยะเวลาที่
ผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม 
แต่การใช้นโยบายลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 
โดยไม่ยกเลิกกองทุนฯ ดังคำหาเสียง 
กำลังกลายเป็นปัญหาใหม่ให้รัฐบาลต้องแก้ไขเหมือนลิงแก้แหอีกครั้ง 
เพราะต้องแลกกับความสูญเสียอีกหลายๆ อย่างตามมา
     
ประการแรก "นโยบายประหยัดพลังงาน" ที่รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ 
สู้อุตส่าห์รณรงค์กันมาเป็นสิบๆ ปีต้องพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า 
ถือว่าสูญเปล่า เพราะถ้าราคาน้ำมันราคาถูกลงเท่ากับยิ่งส่งเสริมให้คน 
"ไม่ประหยัด" อีกต่อไป ซึ่งยิ่งใช้รถมากก็ยิ่งก่อมลพิษ ก่อโลกร้อนมากตามมา 
ที่สำคัญเราต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเกือบ 100% 
สูญเสียเม็ดเงินนำเข้าปีละเกือบล้านล้านบาท 
หรือครึ่งหนึ่งของงบประมาณประจำปีเลยทีเดียว ดังนั้น 
เกือบทุกประเทศทั่วโลกใช้นโยบายราคาน้ำมันให้แพงกว่าความเป็นจริง 
เพื่อประหยัดพลังงาน แต่เขาจะใช้วิธีเก็บ "ภาษีสรรพสามิตสูงๆ" 
แทนการหักเงินเข้ากองทุนเหมือนบ้านเราที่รั่วไหลเข้ากระเป๋านักการเมืองได้
ง่าย
     
ประการต่อมา น่าเสียดายนโยบายพลังงานทดแทน "แก๊สโซฮอล์" 
ที่ส่งเสริมกันมากว่าทศวรรษต้องสูญเปล่า 
เมื่อราคาแก๊สโซฮอล์ใกล้เคียงเบนซินคนจะหันไปใช้เบนซินเหมือนเดิมเพราะคุ้ม
ค่ากว่า เคยมีผลวิจัยระบุว่าตราบใดที่ราคาแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซินไม่ถึง 
2.50 บาท/ลิตร 
ใช้เบนซินคุ้มกว่าจึงเป็นที่มาของราคาแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซินมากๆ 
เป็นการจูงใจให้คนมาใช้ สัดส่วนการใช้แก๊สโซฮอล์เทียบกับเบนซินที่เคยสูงถึง
 70% แต่วันนี้ลดลงฮวบฮาบ 
ทุกปั๊มต่างยืนยันว่าทันทีที่นโยบายนี้มีผลคนเลิกเติมแก๊สโซฮอล์หันมาเติม
เบนซินกันทันที แม้ "ปั๊มบางจาก" 
ที่เป็นหัวหอกพลังงานทดแทนและบริษัทน้ำมันค่ายอื่นๆ 
จะเสียหายแต่ก็ยังพอปรับตัวได้ทันอีกสักพักก็หันมาขายเบนซินเหมือนเดิม 
แต่ที่เสียหายและกลับลำได้ลำบากหนีไม่พ้นบรรดาผู้ผลิตเอทานอลที่เป็นวัตถุ
ดิบสำหรับผลิตแก๊สโซฮอล์ และบรรดาชาวไร่ที่ปลูกพืชพลังงานทั้งหลาย 
ทั้งชาวไร่มันสำปะหลัง ข้าวโพด ชาวไร่อ้อย นับแสนๆ 
รายทั่วประเทศที่ส่วนใหญ่ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทย ต้องพลอยมาเจ๊งตามไปด้วย
 คนพวกนี้น่าสงสารปรับตัวไม่ทัน 
เพราะไม่รู้ว่าก่อนว่านโยบายเหล่านี้จะทำร้ายประชาชนและประเทศชาติทาง
อ้อมอย่างไร เพราะเวลาหาเสียงคนพวกนี้ไม่เคยอรรถาธิบายให้ประชาชนรู้ทั้งหมด
 นอกจากชูนิ้วชี้แล้วตะโกนผ่านไมโครโฟนว่า “รักไหมค๊ะๆๆๆ”
    
 เรื่องนี้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน 
ไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้ข้าราชการและนักการเมืองทำอะไรไปโดยพละการอย่างย่ามใจ
ต่อไปได้แล้ว ในเมื่อประเทศนี้มีกฎหมาย 
มีรัฐธรรมนูญให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน 
เราคงจะไม่ปล่อยให้นักการเมืองใช้กองทุนน้ำมันมาแสวงหาผลประโยชน์กันในทาง
การเมืองได้อีกต่อไป สมาคมฯ 
จะทำทุกวิถีทางในการให้นำไปสู่การยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างถาวรต่อ
ไป 
หรืออาจแปลงไปสู่การเก็บภาษีสรรพสามิตนำเงินไปพัฒนาประเทศโดยรวมดีเสียกว่า
เอาเงินมาประเคนให้คนใช้รถดีเซลและก๊าซธรรมชาติ 
บนผลประโยชน์ของนักการเมืองที่ชอบประชานิยม...
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น