สหรัฐ
อเมริกาเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ทางพลังงานอย่างชัดเจนในการที่จะไปบุกและ
สัมปทานพลังงานใต้ผิวดินและท้องทะเลในชาติอื่นเพื่อเร่งสูบทรัพยากรธรรมชาติ
ของชาติอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 
จึงได้ทุ่มสรรพกำลังแทบทุกด้านทั้งในด้านทางการทหาร 
และการแทรกแซงการเมืองในชาติอื่นมาโดยตลอด
       เราจึงไม่แปลกใจเลยสำหรับสงครามบุกอัฟกานิสถาน ทั้งๆที่เบื้องลึกก่อนหน้านี้ในปี 2540 “ผู้นำกลุ่มตาลีบัน” ได้
เคยบินมายังเมืองฮูสตัน มลรัฐเทคซัส สหรัฐอเมริกา โดยนายจอร์จ ดับเบิลยู 
บุช (ผู้ว่าการมลรัฐเทคซัสในขณะนั้น) ให้การต้อนรับเพื่อให้เข้าพบเจรจากับ 
บริษัท ยูโนแคล เพื่อก่อสร้างท่อส่งก๊าซจากเตอร์กเมนิสถาน ผ่านอัฟกานิสถาน 
ไปสู่ปากีสถาน และมหาสมุทรอินเดีย   
       นอก
จากนั้น 
ยังได้มีการลงนามอีกข้อตกลงหนึ่งซึ่งเป็นการขุดเจาะแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเล
แคสเปียน ก็คือ นายดิก เชนีย์ แห่งบริษัทฮารีเบอร์ตัน ในขณะนั้น 
(ซึ่งก็คือรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา)
       สงคราม
ที่สหรัฐอเมริกาบุกโจมตีอัฟกานิสถานเมื่อปี 2554 
ซึ่งมีประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทพลังงานใน
สหรัฐอเมริกา จึงจบด้วยการโค่นล้มรัฐบาลตาลีบัน 
พร้อมการวางกำลังและฐานทัพในประเทศใกล้เคียงเพื่อคุ้มครองท่อส่งพลังงานจาก
ทะเลแคสเปียน
       เดา
เรื่องนี้ได้เหมือนนวนิยายสุดท้ายอัฟกานิสถานก็ได้ประธานาธิบดีคนแรก คือ 
นายฮามิด คาร์ไซย์ ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างบริษัท 
ยูโนแคลในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทน้ำมันของสหรัฐอเมริกา !!
       ไม่ต้องพูดถึงข้อสงสัยของ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช และ จอร์จ บุชผู้พ่อซึ่งมีสายสัมพันธ์กับตระกูล “บินลาดิน”อย่าง
ลึกซึ้ง โดยนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช 
ยังเคยเป็นกรรมการในบริษัทของครอบครัวบินลาดินที่สหรัฐอเมริกา 
จนแม้กระทั่งวันก่อวินาศกรรม วันที่ 11 กันยายน 2554 
สหรัฐอเมริกายังจัดเครื่องบินบริการพิเศษขนส่งให้กับครอบครัวบินลาดิน 24 คน
 ออกนอกสหรัฐอเมริกา 
ทั้งๆที่สนามบินสหรัฐอเมริกาปิดตัวลงและห้ามใช้การทั้งหมด
       ที่
อินโดนีเซีย ก็เช่นกัน เมื่อปีพ.ศ. 2518 สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดี 
เจอรัลด์ ฟอร์ด สนับสนุนประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซูฮาร์โต 
เข้ายึดติมอร์ตะวันออก ด้วยความโหดเหี้ยม ตาต่อตาฟันต่อฟัน 
จนมีชาวติมอร์ล้มตายไปประมาณ 230,000 คน
       หลัง
จากนั้น 
สหรัฐอเมริกาก็เข้าไปตักตวงผลประโยชน์ทางธุรกิจพลังงานทั้งในอินโดนีเซีย 
และต่อมาในเขตติมอร์ตะวันออกโดยร่วมมือกับประธานาธิบดี 
ซูฮาร์โตอย่างแนบแน่น
       อเมริกา
ก็ตักตวงประโยชน์มาเรื่อยในทะเลอินโดนีเซีย จนกระทั่งเกิดเหตุที่ 
ออสเตรเลีย ทวงหาความเป็นธรรมในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ 
เพื่อหวังจะแบ่งผลประโยชน์น้ำมันดิบในทะเลบริเวณติมอร์ เมื่อปี 2532
       จาก
นั้นสหรัฐอเมริกาเจ้าเดิมก็หนุนหลังให้แยกติมอร์ตะวันออกเป็นอิสระ 
และให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาดูแลติมอร์ 
หลังจากนั้นกลุ่มทุนพลังงานของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียก็หักหลัง
อินโดนีเซียเข้าทำประโยชน์น่านน้ำติมอร์อย่างเต็มที่แทน 
และในท้ายที่สุดสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียก็จับมือกันทำมาหากินด้านพลังงาน
ในทะเลของติมอร์ตะวันออกจนถึงทุกวันนี้
       สาย
สัมพันธ์เรื่องผลประโยชน์ทางพลังงานกับอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศของ
สหรัฐอเมริกาถือว่าแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน สำหรับอเมริกาจึงไม่มีมิตรแท้ 
และไม่มีศัตรูถาวรนอกจาก “ผลประโยชน์อย่างเดียว” เท่านั้น
       ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน พ.ศ. 2505 ยูโนแคล สัญชาติอเมริกัน ที่เดิมชื่อว่าบริษัท Union Oil Company of California ได้
รับสิทธิ์สำรวจ-ขุดเจาะในภาคอีสาน ถือเป็นเอกชนรายแรก แม้ต่อมา 
ยูโนแคลประสบปัญหาทางการเงิน 
ทางบริษัทของจีนพยายามเข้ามาลงทุนซื้อกิจการของยูโนแคล 
แต่ในที่สุดสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ยินยอมจึงให้ เชฟรอน 
บริษัสัญชาติเดียวกันเข้าซื้อกิจการแทน
       เชฟ
รอน เป็นบริษัทที่เข้ามารับช่วงต่อจากบริษัทยูโนแคล 
จากการศึกษาจากข้อมูลของทางราชการ พบว่า ในปี 2550 
บริษัทเชฟรอนถือส่วนแบ่งการผลิตน้ำมันดิบ 66% และก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยถึง 
68% ของที่มีการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยตามลำดับ 
ทั้งๆที่ประเทศไทยได้ค่าภาคหลวง 12.5% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้
     และ
กรณีล่าสุดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ขีดขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2515 
โดยไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับประชิดเกาะกูด 
เป็นการรุกล้ำทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลนั้น พล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ 
อดีตเจ้ากรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ได้เปิดเผยข้อมูลอันเป็นประโยชน์ว่า “นาย
พลลอนนอน 
ได้แจ้งว่าเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศเป็นไปตามการเสนอของเจ้าหน้าที่
ที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนที่เสนอขอรับสัมปทานแสวงประโยชน์จากปิโตรเลียม
ในเขตไหล่ทวีปกัมพูชา ลอนนอนไม่มีความมุ่งประสงค์ใดๆ 
เกี่ยวกับเกาะกูดของไทยทั้งสิ้น และพร้อมจะมีการปรับปรุงดังกล่าว”
       ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยยังจะไปยอมรับ ใน MOU 2544
 เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากขึ้นมาในปี พ.ศ. 2515 
ในการพิจารณาการจัดสรรผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยว่าเป็นเส้นที่กำหนด
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลร่วมไปกับเส้นเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516 
ซึ่งลากขึ้นโดยอาศัยหลักวิชาการและกฎหมายระหว่างประเทศในการแบ่งครึ่งมุมและ
เส้นมัธยะใช้แบ่งระยะทางเท่ากันระหว่างไทย-กัมพูชา
       ด้วย
เหตุนี้ประเทศไทยจึงจะมีดูเรื่องแปลกๆอยู่เสมอที่หาสาเหตุไม่ได้ เช่น 
มีการขบวนการหน่วยสืบราชการลับ ซีไอเอ 
ของสหรัฐอเมริกาฝังตัวอยู่ภาคใต้ในหลายรูปแบบซึ่งมาพร้อมกับการสร้าง
สถานการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่องที่ภาคใต้ 
เพื่ออ้างเรื่องการแยกดินแดนโดยมีแหล่งพลังงานในทะเลอ่าวไทยและทะเล
ไทย-มาเลเซีย เป็นเดิมพัน 
หรือแม้กระทั่งมีขบวนการร่วมก่อความไม่สงบจากต่างชาติมาผสมโรงเลือกข้างทาง
การเมืองที่จะเอื้อผลประโยชน์ทางพลังงานให้กับชาติเหล่านั้น
        ในขณะที่ประเทศไทยแม้ผ่านมาหลายรัฐบาลก็ไม่มีรัฐบาลไหนที่คิดจะยกเลิก “พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนเกินความเป็นจริง” ใน MOU 2544 ให้เป็นรูปธรรมได้เลย!? 
        กัมพูชา
เสียอีกกลับเรียกพวกจากนานาชาติมากกว่าเพราะด้านหนึ่งเจรจาผลประโยชน์ส่วน
ตัวกับนายฮุน เซน คนเดียวจบและง่าย 
อีกทั้งกัมพูชาขุดน้ำมันและพลังงานในอ่าวไทยช้ากว่าประเทศไทย 
และไม่ยอมให้มีชาติใดชาติหนึ่งผูกขาดเป็นส่วนใหญ่ 
จึงเรียกความสนใจจากนานาชาติต่างๆเข้ามาสัมปทานเพื่อสร้างพวกและอำนาจต่อรอง
ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้มากกว่าประเทศไทย 
ในขณะที่ประเทศไทยที่ผ่านมา “คิดสั้น” เพราะ
มัวแต่เห็นประโยชน์เฉพาะหน้าเร่งสัมปทานและเร่งขุดโดยผลประโยชน์ส่วนใหญ่กับ
ตกอยู่กับบริษัทสัญชาติอเมริกา (ซึ่งคิดแต่ผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง) 
เมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ถูกสัมปทานไปเป็นจำนวนมากแล้ว 
จึงขาดความน่าสนใจและขาดความสมดุลในการสร้างอำนาจต่อรองในเวทีการเมือง
ระหว่างประเทศ
      ประเทศ
ไทยเป็นประเทศที่มีแร่ธาตุและพลังงานอันมหาศาล เราเคยสูญเสียดีบุก 
และแทนทาลั่มในราคาเศษดิน 
และถูกสูบพลังงานใต้ผิวดินออกไปให้ต่างชาติในราคาถูกๆ 
โดยที่ประชาชนคนไทยในประเทศไม่ได้อะไรเลย 
นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายทางพลังงานในการดำรงชีวิตในราคาแพงให้กับบริษัท
พลังงานได้รับประโยชน์สูงสุด 
และนักการเมืองก็สามารถทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมหาศาล
     ประเทศไทยจึงยังไม่รวยมั่งคั่งกันจริงๆ สักที !!!?
………………………………………………………………………………………………………….
ขอขอบคุณ… ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น