บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“ถึงบางอ้อ” แต่เจ็บใจ : กรณีรายได้ปิโตรเลียมไทย/ประสาท มีแต้ม


คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม

สืบเนื่องจากกระทรวงพลังงานจะให้สัมปทานแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้ จำนวน 22 แปลง (บนพื้นที่กว่า 8% ของพื้นที่ทั้งหมดประเทศ) ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากภาคประชาชนว่า รัฐควรจะหยุดดำเนินการชั่วคราวไว้ก่อน เพื่อทบทวนรายได้ที่เจ้าของประเทศได้รับซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ข้อมูลของภาคประชาชนซึ่งก็ได้มาจากภาครัฐนั่นแหละว่า สัดส่วนที่รัฐบาลได้รับ (government take) อยู่ที่ประมาณ 29-30% (มูลค่าปี 2553 ประมาณ 1.06 แสนล้านบาท) ที่เหลือบริษัทผู้ลงทุนสำรวจ และขุดเจาะได้ไป 70-71% ในขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติก็ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า รัฐบาลได้รับ 55-59% โดยที่บริษัทได้ไปเพียง 41-45% ตัวเลขสองชุดนี้ให้ความรู้สึกต่างกันเยอะครับ

เพื่อค้นหาความจริงที่สำคัญนี้ ทางคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา (คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธาน) จึงได้เชิญอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ความจริงเชิญรัฐมนตรีพลังงาน) เพื่อชี้แจงข้อมูล และนโยบายที่เกี่ยวข้อง ผมเองเป็นอนุกรรมการชุดเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงานได้มีโอกาสร่วมประชุมด้วย

ในที่สุด ผมก็มาถึงบางอ้อว่า ตัวเลขทั้งสองชุดนั้นถูกต้องทั้งคู่ แต่อยู่บน “วิธีคิดที่แตกต่างกัน” งงได้ครับ! แต่อย่าเพิ่งเลิกอ่านนะ เดี๋ยวจะมีอะไรที่รู้สึกเจ็บใจอย่างน้อยสองครั้ง ผมขออนุญาตอธิบายวิธีคิดของทางราชการซึ่งได้ใช้มาตั้งแต่เริ่มมีการขุดเจาะเมื่อ 30 ปีก่อนแล้วครับ

ทางราชการไทยคิดว่า ปิโตรเลียมที่อยู่ใต้ดินของประเทศ ไม่ว่าจะบนที่ดินที่มีโฉนดของใคร หรือในทะเลก็ตามนั้นเป็นของรัฐ เมื่อมีบริษัทมาสัมปทานขุดเจาะไป มูลค่าปิโตรเลียมเมื่อหักลบด้วยต้นทุนทั้งหมดของบริษัทแล้ว ที่เหลือเท่าใดให้นำมาแบ่งปันกันระหว่างรัฐกับบริษัท ตัวเลขของทางราชการคิดหลังจากหักต้นทุนของบริษัทไปหมดแล้ว ต้นทุนของบริษัทนั้นรวมทุกอย่าง ทั้งค่าการสำรวจ และการขุดเจาะ ค่าบริหารสำนักงาน ค่าภาคหลวง ค่าบำเหน็จบำนาญพนักงาน ค่ารับรอง รวมทั้งค่าหนี้สูญ (เจ็บใจไหม?)

แม้ขั้นตอนในการเก็บรายได้ของรัฐ (ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน) จะเริ่มต้นด้วยการเก็บ (หนึ่ง) ค่าภาคหลวง (ในอัตราประมาณ 12.5% ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ขายได้จากปากหลุม) แล้วตามด้วยการเก็บ (สอง) ภาษีเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง (รวมค่าภาคหลวงด้วย) ในอัตราร้อยละ 50% ของกำไรสุทธิ และ (สาม) โบนัสพิเศษ แต่ความสนใจในที่นี้ก็คือ รัฐได้รับในสัดส่วนหรือร้อยละเท่าใดกันแน่

ในการคิดสัดส่วนที่รัฐบาลได้รับซึ่งอ้างว่าได้ 55-59 % นั้น เป็นการคิดหลังจากให้บริษัทหักต้นทุนของตนไปแล้ว ตรงนี้แหละครับที่ผมเข้าใจ และถึงกับร้อง อ้อ! สรุป ไม่ว่าจะเป็น 29-30% หรือ 55-59% ก็คิดเป็นยอดเงินเท่ากันคือ 1.06 แสนล้านบาท

แต่ภาคประชาชนคิดว่าสัดส่วนที่รัฐได้รับนั้นต้องคิดจากมูลค่าปิโตรเลียมที่ขายได้ทั้ง 100 ส่วน โดยคิดว่าแหล่งปิโตรเลียมที่มีอยู่ในราชอาณาจักรก็เป็นต้นทุนเดิมของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อของบรรพบุรุษที่พลีชีพรักษาดินแดน รักษาน่านน้ำ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอธิปไตยของรัฐด้วย

การสำรวจขุดเจาะของบริษัทก็มีต้นทุน ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างมีต้นทุน การคิดผลประโยชน์ก็ควรจะเริ่มต้นคิดรวมถึงทุนเดิมของทั้งสองฝ่าย นั่นคือ คิดจาก 100% ไม่ใช่ให้บริษัทคิดต้นทุนของตนแต่ฝ่ายเดียว (เจ็บใจ)

หลายท่านอาจจะแย้งว่า ก็รัฐคิดต้นทุนแล้วไง! ในรูปของค่าภาคหลวง และภาษีเงินได้ ผมเรียนว่า ก็คิดได้มีเหตุผล และชัดเจนดีครับ แต่คิดเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม

หลังจากการประชุม ผมได้สืบค้นจากเอกสารของ Dr.Pedro van Meurs (ชาวเนเธอร์แลนด์ เป็นอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย และประธานบริษัทที่ปรึกษาด้านปิโตรเลียม) พบว่า เขาก็คิดเช่นเดียวกับประเทศเรา

ประเด็นที่เป็นปัญหาในที่ประชุมก็คือ ประเทศไทยคิดค่าต้นทุนของบริษัทอย่างไร และเท่าใด สูง หรือต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ผมและ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ได้เรียนต่อที่ประชุมว่า ต้นทุนเฉลี่ยทั่วโลก (ยกเว้นสหรัฐอเมริกา) และตะวันออกกลาง อยู่ที่ $25 และ $17 ต่อที่บาร์เรล ตามลำดับ (ข้อมูลจาก EIA) หรือในเอเชียอยู่ที่ $8 เท่านั้น (ข้อมูล Hess) ในขณะที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของมูลค่าปิโตรเลียม (ขณะนี้ราคาปิโตรเลียมประมาณ $100 ต่อบาร์เรล ดังนั้น การใช้ 50% กับ $50 จึงใกล้เคียงกัน) ผมพยายามค้นหาการคิดต้นทุนของไทยแต่ไม่เจอครับ จึงขอใช้ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซียแทน

ท่านอธิบดีชี้แจงว่า “แหล่งปิโตรเลียมของไทยเป็นแหล่งเล็ก ดังนั้น ค่าต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยจึงสูง” ผมเองได้เรียนแย้งไปว่า ต้นทุนของประเทศไทยสูงกว่าข้อมูลที่กล่าวมาแล้วหลายเท่าตัว

ประธานที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงพลังงานส่งรายละเอียดการคิดค่าใช้จ่ายของไทย ท่านอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเรียนว่า “การคิดค่าใช้จ่ายเป็นความรับผิดชอบของกรมสรรพากร และตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม มาตรา 11 การเปิดเผยข้อมูลถือเป็นความผิด”

เจ็บกระดองใจ! นี่เข้าตำรา “แบ่งแยกแล้วปกครอง” เปี๊ยบเลยครับ

ยังมีอีกคำถามที่คาใจคือ แหล่งปิโตรเลียมไทยเป็นแค่ “กระเปาะขนาดเล็ก” ทำให้ได้ส่วนแบ่งน้อยจริงหรือ? ผมก็ต้องสืบค้นอีกครับ โชคดีที่เจอ จากบทความวิชาการที่ชื่อ “Comparative Analysis of Upstream Petroleum Fiscal Systems of Pakistan,Thailand and Other Countries with Medium Ranked Oil Reserves” โดย Sara Zahidi นำเสนอใน PEA-AIT International Conference ที่เชียงใหม่ (มิถุนายน 2553)

สรุปว่า เมื่อเทียบบนพื้นฐานขนาดการขุดเจาะที่เท่ากันของ 5 ประเทศพบว่า ส่วนที่รัฐบาลต่างๆ ได้รับ จากน้อยไปหามาก ดังนี้คือ ตุรกี (33%) ไทย (53%) คองโก (60%) ปากีสถาน (68%) และแคเมอรูน (89%)

ปิดท้ายจริงๆ ครับ ข้อมูลจาก CIA world factbook พบว่า ประเทศแคเมอรูนมีแหล่งน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้ว และมีการผลิตน้ำมันดิบน้อยกว่าไทยค่อนข้างเยอะ แต่รัฐแคเมอรูนได้รับส่วนแบ่งมากกว่ารัฐไทยเยอะ คราวนี้จะมีคำอธิบายว่าอย่างไรอีกครับ! /


จับเท็จ



กระทรวงพลังงาน โดยอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (นายทรงภพ พลจันทร์) ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไทย (30 พ.ค.55) เกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จำนวน 22 แปลงในเร็วนี้พอสรุปได้ว่า

(1) การประมูลครั้งนี้ค่าภาคหลวงและภาษีปิโตรเลียมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมค่อนข้างมากก็ตาม เพราะผลประโยชน์ตอบแทนของไทยจากปิโตรเลียมเมื่อเทียบกับทั่วโลกอยู่ในระดับกลาง ทั้งที่แหล่งปิโตรเลียมของไทยมีขนาดเล็ก (2) ผลประโยชน์ตอบแทนต่อประเทศทั้งระบบ ซึ่งประเทศไทยจะได้รับผลตอบแทนเป็นสัดส่วนรายได้ถึงร้อยละ 55-60 ผู้ประกอบการได้ผลตอบแทนเพียงร้อยละ 40-45 และ (3) ในปี 2554 รัฐบาลได้ผลตอบแทนจากสัมปทานปิโตรเลียม 147,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าภาคหลวง 60,000-70,000 ล้านบาทและภาษีเงินได้ 80,000 ล้านบาท

ในบทความนี้ ผมจะใช้ข้อมูลจากเอกสารของกระทรวงพลังงานและเอกสารจากหน่วยงานของรัฐบาลแคนาดามาแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลทั้ง 3 ข้อในคำสัมภาษณ์นี้เป็นความเท็จ ดังนั้น ถ้าสังคมไทยเพิกเฉยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามแผนของกระทรวงพลังงานแล้ว ผลประโยชน์ที่คนไทยควรจะได้รับอย่างเป็นธรรมเช่นเดียวกับอารยประเทศก็จะหายไป

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกับ “ผลประโยชน์ตอบแทนต่อประเทศทั้งระบบ” ว่าคืออะไรบ้าง โดยปกติ บริษัทที่ได้รับสัมปทานให้ทำการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) จะต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าของประเทศจำนวน 3 รายการ คือ หนึ่ง ค่าภาคหลวงในอัตราประมาณ 12.5% ของราคาที่ขายได้ (ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก-จะแสดงหลักฐานต่อไป) สอง ภาษีเงินได้ของบริษัทหลังจากหักต้นทุนค่าดำเนินการไม่เกิน 50% ของรายได้ (หลังจากหักค่าภาคหลวงแล้ว) ทั้งนี้อัตราภาษีไม่น้อยกว่า 50% และสาม ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ (หรือโบนัส-รายการนี้เพิ่งบัญญัติขึ้นใหม่ใน พ.ร.บ. ปิโตรเลียม ฉบับที่ 4 ปี 2532 หมายเหตุ รายการนี้ใช้ในกรณีที่บริษัทมีกำไร มีอัตราการคำนวณที่ละเอียดยิบ ผมในฐานะที่เป็นอาจารย์คณิตศาสตร์อ่านแล้วยังรู้สึกงงๆ) ผลรวมของทั้งสามรายการนี้ เรียกว่า ส่วนแบ่งที่รัฐบาลได้รับ (government take) ตารางข้างล่างนี้แสดงข้อมูลต่างๆ ในปี 2548 และ 2553 โดยเริ่มต้นจากมูลค่าปิโตรเลียมที่ปากหลุม



จากตารางดังกล่าวเราจะเห็นว่า ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับอยู่ที่ประมาณปีละ 29% ของมูลค่าปิโตรเลียมเท่านั้น ส่วนที่เป็นก้อนใหญ่ประมาณ 71% เป็นส่วนที่บริษัทผู้รับสัมปทานได้รับไป (หรือ company take) ท่านผู้อ่านได้เห็นแล้วว่า ข้อมูลที่ผมนำมาเสนอ (ซึ่งเป็นข้อมูลของกระทรวงพลังงาน) รวมทั้งที่คำนวณได้นั้นเป็นคนละเรื่องกับที่ท่านอธิบดีให้สัมภาษณ์ (ในข้อที่ 2) ว่า ทั้งระบบรัฐบาลไทยได้รับผลประโยชน์ 55-60%

สำหรับในหัวข้อที่ว่าผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับอยู่ในระดับกลาง (เมื่อเทียบกับประเทศอื่น) และแหล่งของไทยมีขนาดเล็กนั้น จากรายงานเรื่อง Our Fair Share: Alberta Royalty Review Panal เป็นของจัดหวัด Alberta ประเทศแคนาดา (กันยายน 2007) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงการเพิ่ม “ส่วนที่รัฐบาลได้รับ” ของประเทศต่างๆ จากปี 2002 (2545) ถึงปี 2549 พบว่า ทุกประเทศ (ในแผนผัง) ได้รับในอัตราเดิมที่มากกว่า 45% ทั้งนั้น แล้วได้เพิ่มไปสู่อัตราใหม่ที่สูงขึ้น เช่น ประเทศจีนเคยได้ 90% เพิ่มเป็น 92% ในขณะที่ประเทศไทยได้รับเพียง 29.98% เท่านั้น



มาถึงประเด็นที่ว่าแหล่งปิโตรเลียมของไทยมีขนาดเล็ก เรื่องนี้ก็เป็นเท็จอีก เช่น แหล่งลันตา สิมิลันและสุรินทร์ ซึ่งมีพื้นที่ 9,686 ตารางกิโลเมตร อยู่บริเวณอ่าวไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เริ่มผลิตเมื่อ มกราคม 2551 ได้ก๊าซวันละ 6 ล้านลูกบาศก์ฟุต น้ำมัน 3,312 บาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 5% ของน้ำมันที่คนไทยใช้ นี่หรือเล็ก! ในทางตรงกันข้าม ผมเคยค้นพบว่า แหล่งน้ำมันในสหรัฐอเมริกา โดยเฉลี่ยแต่ละหลุมสามารถเจาะน้ำมันได้เพียงวันละ 10 บาร์เรลเท่านั้น (ขออภัยที่ผมไม่มีเวลาย้อนไปหาหลักฐานอ้างอิง)

มาถึงคำสัมภาษณ์ในข้อที่ 3 ที่ว่าไทยได้ค่าภาคหลวง 6-7 หมื่นล้านบาท ผมตรวจสอบข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแล้วพบว่า ค่าภาคหลวงอยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านเท่านั้น (โดยมีมูลค่าปิโตรเลียมเท่ากับ 377,665 ล้านบาท) สำหรับที่ว่าภาษีเงินได้ 8 หมื่นล้านบาทนั้น ผมยังค้นข้อมูลของกรมฯ ไม่พบ แต่ท่านผู้อ่านสามารถเปรียบเทียบกับข้อมูลปี 2553 ในตารางได้ครับ มันไม่น่าจะถึง 6 หมื่นล้านบาทด้วยซ้ำ

สรุป นอกจากผู้ให้สัมภาษณ์ไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติตามหน้าที่แล้ว ยังได้ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จต่อคนไทยทั้งประเทศทั้ง 3 ข้อเลยครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค