บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ช่วยกันผลาญพลังงานชาติ ให้รวยกันจนพุงปลิ้น!? หลัง จากที่รัฐบาลดำเนินนโยบาย ชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน 1 ปี เป็นผลทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งราคาอยู่ที่ลิตรละ 34.77 บาท นั้นต่ำกว่าทั้งแก๊สโซฮอล์ 95 ซึ่งอยู่ที่ลิตรละ 37.04 บาท และแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 34.54 บาท ทำให้ ผู้ใช้รถส่วนใหญ่หันไปเติมน้ำมันเบนซิน 91 กันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนชนิดที่ปั้มน้ำมันต้องแขวนป้าย เบนซิน 91 หมดจากท้องตลาดอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มประกาศราคาดังกล่าว โรงงานเอทานอลจำนวนมากซึ่งใช้วัตถุดิบผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ต้องผวาไปตามๆ กันเพราะถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 6 เดือนหรือ 1 ปี มีหวังต้องปิดโรงงานเอทานอลกันทั่วหน้า และราคาพืชผลทางการเกษตรที่ใช้ในการผลิตเอทานอลจะตกต่ำไปตามๆ กัน ราคาที่เป็นอยู่นี้ทำให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าเบนซิน 95 เพียง 6.75% แต่แก๊สโซฮอล์ 91 กลับแพงกว่าน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ประมาณ 23 สตางค์หรือประมาณ 0.66% ปตท. และ บางจาก จึงต้องรีบนำร่องลดราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ลงอีก 60 สตางค์ ทำให้ แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 36.44 บาท และแก๊สโซฮอล์ 91 เหลือ 33.94 บาท โดยหวังผลในทางจิตวิทยาว่า อย่างน้อยแก๊สโซฮอล์ 91 ก็ยังจะถูกกว่าเบนซิน 91 ประมาณ 2.39% แม้ว่าผู้ใช้น้ำมันส่วนใหญ่อาจจะมองเรื่องราคาต่ำกว่าเป็น หลัก แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยประสิทธิภาพของน้ำมันเบนซินที่สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ นั้นจะต้องมีส่วนต่างห่างกัน 20-30% จึงจะเกิดแรงจูงใจในการใช้พลังงานทดแทน เมื่อจะเลือกวิธีชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน จึงต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากรณีส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ อย่างเร่งด่วน ซึ่งมีหลายแนวทาง เช่น 1. เพิ่มภาษีสรรพสามิตในส่วนของน้ำมันเบนซินให้สูงขึ้น 2. ลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ให้ลดลง 3. เพิ่มทั้งภาษีสรรพสามิตในส่วนของน้ำมันเบนซินและลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ ให้ลดลง 4. ลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์หรือเพิ่มราคาน้ำมันเบนซินขึ้นไปอีก เพื่อทำให้ส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์กับเบนซินห่างกัน 20-30% สิ่งเหล่านี้ก็คือวิธีและเทคนิคการลดรายจ่ายให้กับประชาชน ด้วยการลดราคาน้ำมัน ด้วยวิธี “ชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน 1 ปี ใช้เงิน 74,000 ล้านบาท โดยเตรียมกู้เงินอีก 20,000 ล้านบาทในต้นปีหน้า” เพื่อให้ราคาน้ำมันลดลงตามที่สัญญากับประชาชน และ “เตรียมลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์และ/หรือเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน” เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ วิธีการชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน และลดหรือเพิ่มภาษีสรรพสามิต เป็นวิธีการลดราคาน้ำมันโดยไม่กระทบต่อกระเป๋าผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังจะเป็นการส่งเสริมให้คนได้ใช้น้ำมันช่วยกันผลาญพลังงานชาติอย่าง สนุกสนานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามนโยบายรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังระบุเอาไว้ในข้อ 1.8.4 ที่จะให้มีมาตรการทางภาษีให้กับ “ภาษีรถยนต์คันแรก” ก็ย่อมเชื่อได้ว่าคนไทยจะเร่งใช้น้ำมันกันมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ผลก็คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นโดยเอกชน (ซึ่งมีญาติพี่น้องนักการเมืองถือหุ้นอยู่) ร้อยละ 49 รวยขึ้น และบริษัทผลิตรถยนต์ก็จะรวยขึ้นด้วย!? และคงต้องตั้งคำถามอีกด้วยว่า นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลชุดนี้มีใคร ลูกหลานญาติพี่น้องใครถือหุ้นอยู่ใน ปตท. และบริษัทผลิตรถยนต์ กันมากขนาดไหน? ผลก็คือทำให้คนไทยเร่งใช้พลังงานกันมากขึ้น เมื่อเร่งใช้พลังงานกันมากขึ้นก็จะได้ใช้เป็นข้ออ้างอีกชั้นหนึ่งว่าประเทศ ไทยมีทรัพยากรจำกัด จำเป็นต้องเร่งเจรจาผลประโยชน์ในอ่าวไทยกัมพูชาให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งเอา พลังงานมาใช้ให้เร็วที่สุด จริงหรือไม่? เมื่อทุกคนเร่งใช้พลังงานกันให้มากขึ้น ก็จะได้มีข้ออ้างในการที่จะล้วงเงินจากทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนแหล่ง พลังงานใหม่นอกประเทศไทย ใช่หรือไม่? จึงควรต้องหันมาทบทวนกันสักหน่อยว่า ที่ผ่านมา ปตท.แปรรูป ต้องปันผลให้กับเอกชน โดยอ้างว่าเราจำเป็นต้องหาแหล่งทุนโดยไม่ต้องมีการกู้ ผลการแปรรูปไป 49% ให้กับเอกชนรวมเหล่าญาติโกโหติกาของนักการเมืองจำนวนมากนั้น ปรากฏว่า ปตท.ได้เงินเพียง 28,000 ล้านบาท แต่ตลอดนับตั้งแต่ ปตท.แปรรูปในปี 2544 มาจนถึงสิ้นปีนี้ ปตท.จะมีกำไรสุทธิสะสมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาถึง 741,383 ล้านบาท หากเฉลี่ย 10 ปี ก็ปีละ 74,138 ล้านบาท หมายความว่าการแปรรูป ปตท. ปตท.ได้เงินมาลงทุน 28,000 ล้านบาท แต่ต้องปันผลให้กับเอกชน 49% ไปแล้วตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 350,000 ล้านบาท และรัฐบาลไทยจะสูญเสียรายได้ต่อไปอีกไม่มีวันจบสิ้น โดยดูจากตัวเลขปี 2554 นี้ ปตท.น่าจะมีกำไรสุทธิก้าวกระโดดขึ้นเป็นปีละ 120,000 ล้านบาท!!! ในขณะที่ประเทศไทยได้ค่าภาคหลวงต่ำเพียงแค่ 12.5% ต่ำกว่าพม่า, กัมพูชา อินโดนีเซีย จึงน่าสงสัยว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการเร่งขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าว ไทยนั้น ใครเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์กันแน่? 1. พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชามากเกินความเป็นจริง โดย ฝ่ายไทยลากเส้นเขตไหล่ทวีปแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง แล้วจึงลากเส้นตามแบ่งกึ่งกลางระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อ พ.ศ. 2516 ในขณะที่กัมพูชาลากเส้นเขตไหล่ทวีปมั่วๆ ตามอำเภอใจประชิดและอ้อมเกาะกูดทั้งๆ ที่เป็นการลากเส้นที่รุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดของไทย การแบ่งน้ำมันโดยนับจากเส้นละติจูด 11 องศาเหนือลงมาเพื่อแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงาน โดยไม่สนใจการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชา แล้วไปยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนนั้นจึงเป็น เรื่องที่ฟังไม่ขึ้น หากจะมีความพยายามแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยยังพยายามทำกันอยู่ คือ พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนใกล้ฝั่งไทยให้ไทยได้ 90% กัมพูชาได้ 10% พื้นที่ตรงกลางแบ่งกันระหว่างไทย-กัมพูชา 50% ต่อ 50% และพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนใกล้ฝั่งกัมพูชาให้กัมพูชาได้ 90% และไทยได้ 10% (ตามภาพที่ 1) นั้นสมควรหรือไม่ ถ้าพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนมันกินเข้าในฝั่งไทยมากเกินความจำเป็น ย่อมเท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา ใช่หรือไม่? หรือแท้ที่จริงแล้วประเทศไทยควรจะต้องตั้งหลัก สร้างพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนบนพื้นฐานความเป็นธรรมที่สามารถอธิบายด้วย หลักวิชาและมีแนวคิดสนับสนุนอย่างมีเหตุผลเสียก่อน (ตามภาพที่ 2 หรือ 3) แล้วจึงค่อยมาแบ่งพลังงานในอ่าวไทยทีหลัง ภาพ 1 : แสดงการเตรียมแบ่งผลประโยชน์ในอ่าวไทยตามพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาเกินความเป็นจริง (พื้นที่สีเขียว) ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยกเลิก MOU 2544 ให้เสร็จในระยะเวลา 2 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา และรัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะสานต่อ ภาพที่ 2 : แสดงภาพพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเริ่มจากการแบ่งครึ่งมุมเกาะกูดและเกาะ กง และใช้เส้นมัธยะของไทยแล้วจึงนับพื้นที่ที่มีโอกาสทับซ้อนอันเกิดจากผลของเกาะนอกฝั่งกัมพูชาเพียง 50% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ที่จะแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชา (พื้นที่สีเขียว) ลดลงจากพื้นที่ตาม MOU 2544 ภาพที่ 3 : แสดงภาพพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเริ่มจากการแบ่งครึ่งมุมเกาะกูดและเกาะ กง และใช้เส้นมัธยะของไทยแล้วจึงนับพื้นที่ที่มีโอกาสทับซ้อนอันเกิดจากผลของเกาะนอกฝั่งกัมพูชาเพียง 33.33% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ที่จะแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชา (พื้นที่สีเขียว) ลดลงอย่างมาก 2. น้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกหากยากขึ้นทั่วโลก นับวันก็จะมีคุณค่าและมีมูลค่าแพงขึ้นทุกวัน (เสมือนทองคำผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนที่อยู่ในคลังหลวง) สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจที่พยายามขุดเจาะสำรวจและสูบพลังงานจากทั่ว โลกถึงขั้นเข้าทำสงคราม แต่ในอีกด้านกลับสำรองและชะลอการใช้พลังงานในประเทศตัวเองให้มากที่สุดและ รักษาให้นานที่สุดเพื่อที่จะเป็นมหาอำนาจและสร้างอำนาจต่อรองในอนาคต ในขณะที่ประเทศไทยจะเร่งสัมปทานให้ขุดเจาะสูบพลังงานในอ่าวไทยทั้งๆ ที่ชาติได้ผลตอบแทนต่ำมาก ทั้งในแง่ภาคหลวงที่ต่ำติดดิน และกลายเป็นประเทศที่ส่งออกพลังงานซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติไปให้ต่างชาติใช้ สอย จนไม่รู้ว่าสัมปทานไปแล้วใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์? 3. ที่ผ่านมาประเทศไทยเร่งแบ่งสัมปทานการขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยให้กับสหรัฐ อเมริกาเป็นจำนวนมาก ทั้งยูโนแคล และเชฟรอน ในแง่ยุทธศาสตร์การเมืองและผลประโยชน์ระหว่างประเทศจึงขาดสมดุลในการคานอำนาจระหว่างมิตรประเทศ จึงทำให้พวกน้อยลง ความน่าสนใจในเชิงผลประโยชน์ก็น้อยลง ตรงกันข้ามกับกัมพูชาซึ่งให้ขุดเจาะสำรวจน้ำมันและก๊าซช้ากว่ากลับมีแรงจูง ใจและสร้างพวกได้มากกว่าในเวทีนานาชาติ นักการเมืองไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จึงมองสั้นกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวในยุครัฐบาลตัวเอง มากกว่าการคำนึงถึงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศระยะยาว 4. ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคและประชาชน และประเทศชาติเสียประโยชน์อย่างยิ่งจากการแปรรูป ปตท. รัฐบาลได้ค่าภาคหลวงที่ต่ำ ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐกลายเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทในเครือของ ปตท.กลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเอื้อประโยชน์ให้กับ ปตท.และบริษัทในเครือรวยขึ้นพร้อมๆ กับผู้ถือหุ้นที่รวยขึ้นอย่างมหาศาล บนความเดือดร้อนของประชาชนไปทุกหย่อมหญ้า การเร่งสูบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบนโครงสร้างเช่นนี้จึงไม่เป็นธรรมกับประเทศชาติและประชาชน ดังนั้นการเร่งสูบพลังงานในอ่าวไทยมาใช้ให้เร็วที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ ที่ เห็นได้ประโยชน์กันเต็มๆ ก็คือ นักการเมือง ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารของ ปตท. และบริษัทในเครือ ตลอดจนประเทศกัมพูชา อีกทั้งบริษัทต่างชาติที่กำลังสวาปามสูบทรัพยากรของชาติกันให้รวยจนพุงปลิ้น


 
    หลัง จากที่รัฐบาลดำเนินนโยบาย ชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน 1 ปี เป็นผลทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งราคาอยู่ที่ลิตรละ 34.77 บาท นั้นต่ำกว่าทั้งแก๊สโซฮอล์ 95 ซึ่งอยู่ที่ลิตรละ 37.04 บาท และแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 34.54 บาท ทำให้ ผู้ใช้รถส่วนใหญ่หันไปเติมน้ำมันเบนซิน 91 กันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนชนิดที่ปั้มน้ำมันต้องแขวนป้าย เบนซิน 91 หมดจากท้องตลาดอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มประกาศราคาดังกล่าว
     
       โรงงานเอทานอลจำนวนมากซึ่งใช้วัตถุดิบผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ต้องผวาไปตามๆ กันเพราะถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 6 เดือนหรือ 1 ปี มีหวังต้องปิดโรงงานเอทานอลกันทั่วหน้า และราคาพืชผลทางการเกษตรที่ใช้ในการผลิตเอทานอลจะตกต่ำไปตามๆ กัน
     
       ราคาที่เป็นอยู่นี้ทำให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าเบนซิน 95 เพียง 6.75% แต่แก๊สโซฮอล์ 91 กลับแพงกว่าน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ประมาณ 23 สตางค์หรือประมาณ 0.66%
     
       ปตท. และ บางจาก จึงต้องรีบนำร่องลดราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ลงอีก 60 สตางค์ ทำให้ แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 36.44 บาท และแก๊สโซฮอล์ 91 เหลือ 33.94 บาท โดยหวังผลในทางจิตวิทยาว่า อย่างน้อยแก๊สโซฮอล์ 91 ก็ยังจะถูกกว่าเบนซิน 91 ประมาณ 2.39%
     
       แม้ว่าผู้ใช้น้ำมันส่วนใหญ่อาจจะมองเรื่องราคาต่ำกว่าเป็น หลัก แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยประสิทธิภาพของน้ำมันเบนซินที่สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ นั้นจะต้องมีส่วนต่างห่างกัน 20-30% จึงจะเกิดแรงจูงใจในการใช้พลังงานทดแทน
     
       เมื่อจะเลือกวิธีชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน จึงต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากรณีส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ อย่างเร่งด่วน ซึ่งมีหลายแนวทาง เช่น 1. เพิ่มภาษีสรรพสามิตในส่วนของน้ำมันเบนซินให้สูงขึ้น 2. ลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ให้ลดลง 3. เพิ่มทั้งภาษีสรรพสามิตในส่วนของน้ำมันเบนซินและลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ ให้ลดลง 4. ลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์หรือเพิ่มราคาน้ำมันเบนซินขึ้นไปอีก เพื่อทำให้ส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์กับเบนซินห่างกัน 20-30%
     
       สิ่งเหล่านี้ก็คือวิธีและเทคนิคการลดรายจ่ายให้กับประชาชน ด้วยการลดราคาน้ำมัน ด้วยวิธี “ชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน 1 ปี ใช้เงิน 74,000 ล้านบาท โดยเตรียมกู้เงินอีก 20,000 ล้านบาทในต้นปีหน้า” เพื่อให้ราคาน้ำมันลดลงตามที่สัญญากับประชาชน และ “เตรียมลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์และ/หรือเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน” เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์
     
       แต่ที่น่าสังเกตก็คือ วิธีการชะลอการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน และลดหรือเพิ่มภาษีสรรพสามิต เป็นวิธีการลดราคาน้ำมันโดยไม่กระทบต่อกระเป๋าผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังจะเป็นการส่งเสริมให้คนได้ใช้น้ำมันช่วยกันผลาญพลังงานชาติอย่าง สนุกสนานด้วย
     
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามนโยบายรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังระบุเอาไว้ในข้อ 1.8.4 ที่จะให้มีมาตรการทางภาษีให้กับ “ภาษีรถยนต์คันแรก” ก็ย่อมเชื่อได้ว่าคนไทยจะเร่งใช้น้ำมันกันมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
     
       ผลก็คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นโดยเอกชน (ซึ่งมีญาติพี่น้องนักการเมืองถือหุ้นอยู่) ร้อยละ 49 รวยขึ้น และบริษัทผลิตรถยนต์ก็จะรวยขึ้นด้วย!?
     
       และคงต้องตั้งคำถามอีกด้วยว่า นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลชุดนี้มีใคร ลูกหลานญาติพี่น้องใครถือหุ้นอยู่ใน ปตท. และบริษัทผลิตรถยนต์ กันมากขนาดไหน?
     
       ผลก็คือทำให้คนไทยเร่งใช้พลังงานกันมากขึ้น เมื่อเร่งใช้พลังงานกันมากขึ้นก็จะได้ใช้เป็นข้ออ้างอีกชั้นหนึ่งว่าประเทศ ไทยมีทรัพยากรจำกัด จำเป็นต้องเร่งเจรจาผลประโยชน์ในอ่าวไทยกัมพูชาให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งเอา พลังงานมาใช้ให้เร็วที่สุด จริงหรือไม่?
     
       เมื่อทุกคนเร่งใช้พลังงานกันให้มากขึ้น ก็จะได้มีข้ออ้างในการที่จะล้วงเงินจากทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนแหล่ง พลังงานใหม่นอกประเทศไทย ใช่หรือไม่?
     
       จึงควรต้องหันมาทบทวนกันสักหน่อยว่า ที่ผ่านมา ปตท.แปรรูป ต้องปันผลให้กับเอกชน โดยอ้างว่าเราจำเป็นต้องหาแหล่งทุนโดยไม่ต้องมีการกู้ ผลการแปรรูปไป 49% ให้กับเอกชนรวมเหล่าญาติโกโหติกาของนักการเมืองจำนวนมากนั้น ปรากฏว่า ปตท.ได้เงินเพียง 28,000 ล้านบาท แต่ตลอดนับตั้งแต่ ปตท.แปรรูปในปี 2544 มาจนถึงสิ้นปีนี้ ปตท.จะมีกำไรสุทธิสะสมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาถึง 741,383 ล้านบาท หากเฉลี่ย 10 ปี ก็ปีละ 74,138 ล้านบาท
     
       หมายความว่าการแปรรูป ปตท. ปตท.ได้เงินมาลงทุน 28,000 ล้านบาท แต่ต้องปันผลให้กับเอกชน 49% ไปแล้วตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 350,000 ล้านบาท และรัฐบาลไทยจะสูญเสียรายได้ต่อไปอีกไม่มีวันจบสิ้น
     
       โดยดูจากตัวเลขปี 2554 นี้ ปตท.น่าจะมีกำไรสุทธิก้าวกระโดดขึ้นเป็นปีละ 120,000 ล้านบาท!!!
     
       ในขณะที่ประเทศไทยได้ค่าภาคหลวงต่ำเพียงแค่ 12.5% ต่ำกว่าพม่า, กัมพูชา อินโดนีเซีย จึงน่าสงสัยว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการเร่งขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าว ไทยนั้น ใครเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์กันแน่?
     
       1. พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชามากเกินความเป็นจริง โดย ฝ่ายไทยลากเส้นเขตไหล่ทวีปแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง แล้วจึงลากเส้นตามแบ่งกึ่งกลางระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อ พ.ศ. 2516 ในขณะที่กัมพูชาลากเส้นเขตไหล่ทวีปมั่วๆ ตามอำเภอใจประชิดและอ้อมเกาะกูดทั้งๆ ที่เป็นการลากเส้นที่รุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดของไทย
     
       การแบ่งน้ำมันโดยนับจากเส้นละติจูด 11 องศาเหนือลงมาเพื่อแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงาน โดยไม่สนใจการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชา แล้วไปยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนนั้นจึงเป็น เรื่องที่ฟังไม่ขึ้น หากจะมีความพยายามแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยยังพยายามทำกันอยู่ คือ พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนใกล้ฝั่งไทยให้ไทยได้ 90% กัมพูชาได้ 10% พื้นที่ตรงกลางแบ่งกันระหว่างไทย-กัมพูชา 50% ต่อ 50% และพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนใกล้ฝั่งกัมพูชาให้กัมพูชาได้ 90% และไทยได้ 10% (ตามภาพที่ 1) นั้นสมควรหรือไม่ ถ้าพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนมันกินเข้าในฝั่งไทยมากเกินความจำเป็น ย่อมเท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา ใช่หรือไม่?
     
       หรือแท้ที่จริงแล้วประเทศไทยควรจะต้องตั้งหลัก สร้างพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนบนพื้นฐานความเป็นธรรมที่สามารถอธิบายด้วย หลักวิชาและมีแนวคิดสนับสนุนอย่างมีเหตุผลเสียก่อน (ตามภาพที่ 2 หรือ 3) แล้วจึงค่อยมาแบ่งพลังงานในอ่าวไทยทีหลัง
ภาพ 1 : แสดงการเตรียมแบ่งผลประโยชน์ในอ่าวไทยตามพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาเกินความเป็นจริง (พื้นที่สีเขียว) ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยกเลิก MOU 2544 ให้เสร็จในระยะเวลา 2 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา และรัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะสานต่อ
     
ภาพที่ 2 : แสดงภาพพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเริ่มจากการแบ่งครึ่งมุมเกาะกูดและเกาะ กง และใช้เส้นมัธยะของไทยแล้วจึงนับพื้นที่ที่มีโอกาสทับซ้อนอันเกิดจากผลของเกาะนอกฝั่งกัมพูชาเพียง 50% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ที่จะแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชา (พื้นที่สีเขียว) ลดลงจากพื้นที่ตาม MOU 2544
     
ภาพที่ 3 : แสดงภาพพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเริ่มจากการแบ่งครึ่งมุมเกาะกูดและเกาะ กง และใช้เส้นมัธยะของไทยแล้วจึงนับพื้นที่ที่มีโอกาสทับซ้อนอันเกิดจากผลของเกาะนอกฝั่งกัมพูชาเพียง 33.33% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ที่จะแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชา (พื้นที่สีเขียว) ลดลงอย่างมาก
       2. น้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกหากยากขึ้นทั่วโลก นับวันก็จะมีคุณค่าและมีมูลค่าแพงขึ้นทุกวัน (เสมือนทองคำผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนที่อยู่ในคลังหลวง) สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจที่พยายามขุดเจาะสำรวจและสูบพลังงานจากทั่ว โลกถึงขั้นเข้าทำสงคราม แต่ในอีกด้านกลับสำรองและชะลอการใช้พลังงานในประเทศตัวเองให้มากที่สุดและ รักษาให้นานที่สุดเพื่อที่จะเป็นมหาอำนาจและสร้างอำนาจต่อรองในอนาคต ในขณะที่ประเทศไทยจะเร่งสัมปทานให้ขุดเจาะสูบพลังงานในอ่าวไทยทั้งๆ ที่ชาติได้ผลตอบแทนต่ำมาก ทั้งในแง่ภาคหลวงที่ต่ำติดดิน และกลายเป็นประเทศที่ส่งออกพลังงานซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติไปให้ต่างชาติใช้ สอย จนไม่รู้ว่าสัมปทานไปแล้วใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์?
     
       3. ที่ผ่านมาประเทศไทยเร่งแบ่งสัมปทานการขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยให้กับสหรัฐ อเมริกาเป็นจำนวนมาก ทั้งยูโนแคล และเชฟรอน ในแง่ยุทธศาสตร์การเมืองและผลประโยชน์ระหว่างประเทศจึงขาดสมดุลในการคานอำนาจระหว่างมิตรประเทศ จึงทำให้พวกน้อยลง ความน่าสนใจในเชิงผลประโยชน์ก็น้อยลง ตรงกันข้ามกับกัมพูชาซึ่งให้ขุดเจาะสำรวจน้ำมันและก๊าซช้ากว่ากลับมีแรงจูง ใจและสร้างพวกได้มากกว่าในเวทีนานาชาติ นักการเมืองไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จึงมองสั้นกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวในยุครัฐบาลตัวเอง มากกว่าการคำนึงถึงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศระยะยาว
     
       4. ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคและประชาชน และประเทศชาติเสียประโยชน์อย่างยิ่งจากการแปรรูป ปตท. รัฐบาลได้ค่าภาคหลวงที่ต่ำ ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐกลายเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทในเครือของ ปตท.กลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเอื้อประโยชน์ให้กับ ปตท.และบริษัทในเครือรวยขึ้นพร้อมๆ กับผู้ถือหุ้นที่รวยขึ้นอย่างมหาศาล บนความเดือดร้อนของประชาชนไปทุกหย่อมหญ้า การเร่งสูบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบนโครงสร้างเช่นนี้จึงไม่เป็นธรรมกับประเทศชาติและประชาชน
     
       ดังนั้นการเร่งสูบพลังงานในอ่าวไทยมาใช้ให้เร็วที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ ที่ เห็นได้ประโยชน์กันเต็มๆ ก็คือ นักการเมือง ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารของ ปตท. และบริษัทในเครือ ตลอดจนประเทศกัมพูชา อีกทั้งบริษัทต่างชาติที่กำลังสวาปามสูบทรัพยากรของชาติกันให้รวยจนพุงปลิ้น




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง