ฮุน เซน หวัง ปู ตกลงแบ่งแก๊สฯ-น้ำมัน 80:20
ฮุน เซน หวัง ปู ตกลงแบ่งแก๊สฯ-น้ำมัน 80:20
| 
 | 
| โดย  ทรงฤทธิ์ โพนเงิน | 
|  | 
| 
|  |  | หลัง 
จากที่ได้แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าต่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง 
ทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้วนั้น ฮุน เซน  
ก็ได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยโอกาสที่จะได้แสดงความยินดีอย่าง เป็นทางการกับ  
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (น้องสาวของ ทักษิณ เพื่อนรัก) อย่างใจจดใจจ่อ  
เนื่องเพราะมั่นใจว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของน้องสาวเพื่อนรัก
 นั้นจะทำให้ความขัดแย้งว่าด้วยเรื่องพื้นที่พิพาทและการเผชิญหน้าทางทหาร 
ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ดำเนินมาถึง 3  
ปีแล้วนั้นจะได้ข้อยุติหรือจบสิ้นกันไปเสียที โดยความมั่นใจดังกล่าวนี้ของ ฮุน เซน ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น  
เมื่อปรากฏว่าทั้ง ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์  
ได้ประสานเสียงกันตามประสาพี่น้องที่ “โคลนนิ่ง”  
กันมานั้นว่าปัญหาการต่างประเทศที่จะต้องแก้ไขเร่งด่วนที่สุดเป็นอย่างแรก 
ของรัฐบาล “โคลนนิ่ง” ทักษิณ นั้น ก็คือการปรับปรุงและก็เสริมสร้างความ  
สัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชานั่นเอง
 ครั้นเมื่อเห็นว่า ทักษิณ เพื่อนรักและน้องสาวได้ออกมาแสดงท่าทีเช่นนี้  
ฮุน เซน ก็มิได้นิ่งดูดาย  
แต่ได้ออกมาเสริมในเรื่องเดียวกันนี้ว่าตนเองนั้นยินดีและพร้อมที่จะพบและ 
เจรจากับน้องสาวของ ทักษิณ เพื่อนรักทุกเวลา ทุกสถานที่  
และในทุกๆเรื่องราวที่เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสอง ประเทศ
  ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับท่าทีที่ ฮุน เซน ได้แสดงต่อ  
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นับตั้ง  
แต่วันแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
 แน่นอนว่าการแสดงท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ของ ฮุน เซน  
ในด้านหนึ่งนั้นย่อมต้องการที่จะตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่
 มีอยู่กับ ทักษิณ เพื่อนรัก  
แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็เป็นที่รู้กันเป็นอย่างดีในบรรดาผู้ที่มีสัมพันธ์ 
ใกล้ชิดกับ ฮุน เซน ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ ฮุน เซน ได้ทำดีกับใคร ก็ตาม  
ต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องการสิ่งตอบแทนทั้งสิ้น” โดยไม่มีการยกเว้นแม้แต่  
ทักษิณ เพื่อนรัก
 ครั้นแล้วความต้องการของ ฮุน เซน ก็ถูกเปิดเผย  เมื่อเวบไซต์เจ้าปัญหาอย่าง
 Wiki-leak นั้นได้ปล่อยข้อมูลลับออกมาว่า “ฮุน  เซน กับ ทักษิณ  
นั้นเคยตกลงแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่อยู่ใน 
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างกันในสัดส่วน 80 ต่อ 20”
 ซึ่งหากจะว่าไปแล้วกรณีดังกล่าวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด  
เพราะก่อนหน้านี้ ฮุน เซน  
ได้หลุดปากออกมาในโอกาสเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษา 
จากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขาได้กำหนดให้เวลากับกลุ่ม  
Chevron ยักษ์ ใหญ่ในวงการน้ำมันของสหรัฐฯ  
เพื่อให้ดำเนินการขุดค้น-นำเอาน้ำมันและแก๊สฯที่อยู่ในเขตน่านน้ำทางทะเลของ
 กัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012  
หากไม่เช่นนั้นก็จะดำเนินการถอนสัมปทานทันที
 พร้อมกันนั้น ฮุน เซน  
ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล 
กัมพูชานั้น ให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อให้ร่วมทุนกับ  
Chevron Corp ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯเป็นการเฉพาะอีกด้วย
 ส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น ฮุน เซน  
ก็ยังได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม  
TOYO Engineering  
จากญี่ปุ่นเพื่อให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่น 
น้ำมันแห่งแรกในกัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO  
ตัดสินใจลงทุนในด้านดังกล่าวนี้ในกัมพูชาในระยะต่อไป
 ทั้งนี้โดย ฮุน เซน  
ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งทำการร่างกฎหมายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ 
เพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้  
จึงเชื่อได้เลยว่ากฎหมายน้ำมันฉบับแรกของกัมพูชาจะผ่านการเห็นชอบในทุกวาระ 
ของทุกการประชุมได้อย่างชนิดที่เรียกว่าแบบม้วนเดียวจบ
 ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าด้วยอำนาจอันท่วมล้นของรัฐบาล ฮุน เซน นั้น  
ได้กำหนดวันเวลาไว้แล้วว่าแก๊สฯและน้ำมันหยดแรกในอ่าวไทยนั้น  
จะต้องถูกสูบขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาให้ 
ได้ในวันที่ 12 ธันวาคม 2012 หรือ 12-12-12  
(ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่จะทำให้ ฮุน เซน  
สามารถที่จะครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ยาวนานถึง 36  
ปีติดต่อกันหรือก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้กับ ฮุน มาเนตร บุตรชายคนโตเมื่อ  
ฮุน เซน มีอายุครบ 70 ปีพอดี)
 ทางด้าน Chevron Corp ก็ยังได้ร่วมทุนกับกลุ่ม Mitsui  จากญี่ปุ่นและกลุ่ม 
GS Caltex  
จากเกาหลีใต้เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตน่านน้ำของ 
กัมพูชานับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาแล้วนั้น  
และถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สรุปผลการสำรวจอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ Chevron Corp  
ก็ได้ให้การตอบสนองต่อเป้าหมายของ ฮุน เซน เป็นอย่างดีตลอดมา
 โดยกลุ่ม Chevron Corp พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และ กลุ่ม GS Caltex  
ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ  
และได้ทำการขุดเจาะและสำรวจหาน้ำมันในเขตสัมปทาน A  
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลด้านจังหวัดสีหนุวิลล์ในภาคใต้ของกัมพูชา 
ประมาณ 150 กิโลเมตรนั้นพบว่า 4 ใน 15  
หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง
 ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10  
รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ  
ในเขตอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว 
 โดยในที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและยักษ์ 
ใหญ่ด้านพลังงานจากจีนด้วย
 ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)  
นั้นยังได้แสดงการเชื่อมั่นต่อที่ประชุมสมัชชาว่าด้วยการลงทุนขุดค้นน้ำมัน 
และแก๊สฯในภูมิภาคเอเชียในช่วงก่อนหน้านี้ว่าน้ำมันและแก๊สฯ  
ในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัมพูชากับไทยนั้น มีปริมาณน้ำมันสำรองที่มากถึง
  2,000 ล้านบาร์เรล และมีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10  
ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันมากกว่า 5  
ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
 พร้อมกันนั้น IMF ก็ยังได้ประมาณการด้วยว่า  
หากมีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้รัฐบาลกัมพูชามีราย
 รับมากกว่า 175  
ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและก็จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700  
ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี  
หรือเมื่อโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของกัมพูชาได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จและได้ 
ทำการกลั่นน้ำมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
 อย่างไรก็ตาม  
กรณีที่นับเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนขุดค้นของกลุ่มบริษัท 
ต่างๆ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้  
ก็คือการที่ทางการไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงกันได้ทั้งในส่วนที่เกี่ยว 
กับการแบ่งปันผลประโยชน์และเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันที่เป็นบริเวณกว้าง 
กว่า 27,000 ตารางกิโลเมตร
 แต่ถึงกระนั้น ทางการไทยกับกัมพูชา ก็เคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้ว  
เมื่อเดือนสิงหาคม 2549  
โดยได้ตกลงที่จะแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันออกเป็น 3 ส่วน  
โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันและแก๊สฯ  
ร่วมกันในสัดส่วน 50 ต่อ 50
 ส่วนเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลของไทยนั้นก็ได้ตกลงให้แบ่งผล 
ประโยชน์ให้กับฝ่ายไทยมากกว่าฝ่ายกัมพูชา  
ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลของกัมพูชา  
ก็ให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทย  
แต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับสัดส่วนของการแบ่งผลประโยชน์  
กล่าวก็คือฝ่ายไทยเสนอให้แบ่งเป็น 60 ต่อ 40  
แต่ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับต้องการให้แบ่งเป็น 90 ต่อ 10  
เพราะเชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งกัมพูชานั้นมีน้ำมันและแก๊สฯมากกว่า
 ในเขตที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง
 แต่นับจากที่ไทยและกัมพูชามีปัญหาพิพาทกันในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร  
ในเขตปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่กลางปี 2551  
เป็นต้นมาจนถึงขั้นที่ต้องยิงปะทะกันด้วยอาวุธมาแล้วนั้นก็ได้ทำให้ไม่มีการ
 เจรจากันเกี่ยวกับผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯระหว่างกันเกิดขึ้นอีก 
เลย
 ครั้นเมื่อ ฮุน เซน  
ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ  
(ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น  
ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง
 สภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012  
อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ 
 (National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน  
นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็ว 
ที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน  
ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน 
 เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20  
และส่วนที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้ 
คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป!!!
 |  | 
|  | 
 
 
 
          
      
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น