บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สัมพันธภาพ ฮุน เซน ,ทักษิณและ เชฟรอน





ชัย ชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน มา ไม่เพียงจะทำให้ ฮุน เซน (เพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร) ได้แสดงความดีใจอย่างออกหน้าออกตา ด้วยการเป็นผู้ นำรัฐบาลของต่างประเทศรายแรกที่ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้น หากแต่ชัยชนะดังกล่าวของพรรคเพื่อไทย ยังเป็นเสมือนโอสถทิพย์ที่ช่วยชุบชีวิตทางธุรกิจให้กับยักษ์ใหญ่ในวงการ ธุรกิจพลังงานของโลกอย่างกลุ่มบริษัทเชฟรอน (Chevron) แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้โดยทันทีที่ได้รับทราบผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยอย่างเป็นทางการ แล้วนั้น Steve Glick ประธานของกลุ่ม Chevron ถึงกับได้บินตรงจากสหรัฐฯ เพื่อไปปฏิบัติภารกิจในกัมพูชาเป็นกรณีพิเศษนับจากต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา แล้ว และมีกำหนดที่จะปฏิบัติภารกิจพิเศษดังกล่าวในกัมพูชาเป็นเวลาถึง 3 เดือนติดต่อกันอีกด้วย
แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ Steve Glick ยังได้ให้การยืนยันต่อสื่อมวลชนเขมรและต่างชาติในกรุงพนมเปญด้วยว่ากลุ่ม Chevron จะเดินหน้าการขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในทะเลอ่าวไทยต่อไป โดยในเวลานี้ยังคงรอเพียงการอนุมัติสัมปทานจากการปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชา เท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าทันทีที่การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาได้อนุมัติสัมปทานอย่าง เป็นทางการแล้วนั้น กลุ่ม Chevron ก็จะประกาศแผนการลงทุนเพื่อสูบน้ำมันและแก๊สฯในทะเลอ่าวไทยขึ้นมาใช้ ประโยชน์ในทันทีนั่นเอง
โดยการแถลงยืนยันดังกล่าวนี้ ถึงแม้ว่า Steve Glick จะมิได้เปิดเผยถึงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการลงทุนและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะ ได้รับจากการลงทุนที่จะมีขึ้นดังกล่าวก็ตาม แต่การที่เขาได้เน้นย้ำว่ากลุ่ม Chevron ที่ได้เริ่มทำการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย กับกัมพูชาในอ่าวไทยนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา และได้ใช้เงินทุนไปแล้วมากกว่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯถึง 18 หลุมแล้วนั้น ทั้งยังได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานจากการปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชา อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010 เป็น ต้นมาด้วยแล้ว ย่อมถือเป็นหลักประกันได้ว่ากลุ่ม Chevron นั้นจะไม่ยอมละทิ้งผลประโยชน์อันพึงจะได้รับจากน้ำมันและแก๊สฯในส่วนนี้ไป อย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ได้หลุดปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษา จากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขานั้นได้กำหนดกรอบเวลาให้กลุ่ม Chevron ดำเนินการขุดค้น และนำเอาน้ำมันหรือแก๊สฯ ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012 หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกถอนสัมปทานในทันที
พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชาให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา ร่วมทุนกับกลุ่ม Chevron ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯ ดังกล่าวเป็น การเฉพาะ ทั้งยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกใน กัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นฯดังกล่าวในระยะต่อไป ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยน้ำมันและแก๊ส ธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้อีก ด้วย
ครั้นเมื่อมองเห็นเป้าหมายของ ฮุน เซน อย่างชัดเจนเช่นนี้กลุ่ม Chevron ก็ได้ร่วมกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่น และกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาอย่างขนานใหญ่ และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับผลที่ได้รับจากการสำรวจในระยะที่ ผ่านมาก็ตาม แต่การที่กลุ่ม Chevron ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานการขุดค้นจาก การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010 เป็นต้นมาแล้วนั้นก็ย่อมจะถือเป็นคำตอบ ทั้งก็ยังถือเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าวของ ฮุน เซน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ทั้งนี้โดยกลุ่ม Chevron พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และกลุ่ม GS Caltex ได้ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ และได้ทำการขุดเจาะเพื่อสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯในเขตสัมปทาน A ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งทะเลของเขตจังหวัดสีหนุวิลล์ทางภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตรนั้น พบว่า 4 ใน 15 หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง
ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10 รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯ ในทะเลอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว โดยในที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การปิโตรเลี่ยมแห่งสิงคโปร์ และยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนอย่าง China National Offshore Oil Corp ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังได้แสดงการเชื่อมั่นว่าน้ำมันและแก๊สฯในกัมพูชา และในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยด้วยนั้นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรลและมีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ IMF ได้ประมาณการว่าหากได้มีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้ รัฐบาลของ ฮุน เซน มีรายได้มากกว่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อได้ดำเนินการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแล้วเสร็จนั้น ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องเร่งผลักดันแผนการนี้ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน พลังงานทั้งหลายในระยะเวลากว่า 3 ปีมานี้ ก็คือความขัดแย้งระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชาที่ว่าด้วยพื้นที่พิพาทใน เขตปราสาทพระวิหาร และการที่ทางการของทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการแบ่งปันผล ประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน ซึ่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตรในเขตอ่าวไทยนั้น
โดยถึงแม้ว่าทางการไทยและกัมพูชา (ทักษิณ กับ ฮุน เซน) จะเคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยตกลงแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ก็ตาม แต่ส่วนที่ยังตกลงกันไม่ได้ ก็คือเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยและเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง ของกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายไทยนั้นเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40 คือใกล้ชายฝั่งของฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะได้ส่วนแบ่งมากกว่าแต่ฝ่ายกัมพูชากลับต้องการให้แบ่งผลประโยชน์ เป็น 90 ต่อ 10 เพราะ ฮุน เซน เชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณน้ำมันและแก๊สฯ มากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง
ครั้นเมื่อ ฮุน เซน ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ (ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง สภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012 อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ (National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็ว ที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20 และส่วนที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้ คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป
ยิ่งเมื่อประกอบกับการที่ Steve Glick ประธานกลุ่ม Chevron ก็กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจพิเศษอยู่ในกัมพูชา ทั้งยังเป็นช่วงเดียวกันกับการที่เพื่อนรักอย่าง ทักษิณ ผู้โคลนนิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัวจริงนั้น ก็มีภารกิจพิเศษที่กัมพูชาด้วยแล้ว จึงนับเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะเจาะกันเป็นอย่างยิ่งในอันที่จะทำให้ผล ประโยชน์ก้อนโตที่ ฮุน เซน วาดหวังไว้นั้นจะตกอยู่ในอุ้งมือของเขาในเร็ววันนี้เป็นแน่และหากเป็นเช่น นั้นจริงก็ยังหมายถึงหลักประกันที่จะทำให้ ฮุน เซน สามารถครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ต่อไปอีกนานหรือจนกว่าชีวิตจะหา ไม่นั่นเอง!!!

โดย  ทรงฤทธิ์ โพนเงิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง