บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นช.ทักษิณ” เร่งปิดเกม “ผีกระหัง” รีบฮุบน้ำมันอ่าวไทย

“นช.ทักษิณ” เร่งปิดเกม “ผีกระหัง” รีบฮุบน้ำมันอ่าวไทย ยึดขุมทรัพย์ 5 ล้านล้านบาท 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 20 สิงหาคม 2554 06:03 น.

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ที่สุดมันก็เป็นเรื่องจริง อย่างที่หลายคนคาดหมาย กับความกระหายใคร่อยาก “อำนาจ” และ “พลังงาน” ในอ่าวไทย ของ “ทักษิณ ชินวัตร” หลังจากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในศึกเลือกตั้ง 3 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยไม่ต้องรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง โดยไม่ต้องรอให้น้องสาวคนสวย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้ไม่ประสีประสาทางการเมืองได้มั่นอกมั่นใจในทุกก้าวย่างของเธอท่ามกลาง เสือ สิงห์ กระทิง แรด และเหลือบการเมือง แล้วค่อยโผล่หัวออกมาบอกว่า ความสำเร็จของน้องสาวคนนี้ มีพี่ชายคนเก่งและแสนดีอยู่เบื้องหลัง
     
       แต่นี่ยังไม่ทันไรกลับออกมาเพ่นพ่านเป็น “ผีกระหัง” บินว่อนโลก โดยล่าสุด ไม่สำเหนียกว่าตัวเองเป็นนักโทษหนีคดี แต่อยากไปเยือนพื้นที่ประสบภัยสึนามิของญี่ปุ่น เพื่อพิจารณาว่าฝ่ายไทยจะให้ความช่วยเหลือ หรือความร่วมมือใดๆ ในการฟื้นฟูได้บ้าง รวมถึงดำเนินการพิจารณาหาหนทางที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็น “นักโทษหนีคดี” หลายคนคงนึกว่า นช.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว
     
       เท่านั้นยังไม่พอ นช.ทักษิณ ยังให้สัมภาษณ์สื่อแดนปลาดิบว่า เป็นผู้แนะนำยิ่งลักษณ์จัดโผ ครม. มีส่วนช่วยน้องปูในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยไม่ได้ “เตี๊ยม” และไม่ได้นึกถึงน้องสาวที่เพิ่งเข้าโรงเรียนอนุบาลการเมืองมาได้ไม่ถึง 100 วัน ไม่สนใจว่าน้องสาวและคณะรัฐมนตรีของเธอ จะกลายเป็น “คณะละครลิง” ที่เล่นจำอวดการเมืองโกหกชาวบ้านไปวันๆ ว่า “ครม.ทั้ง 36 คนนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคนเลือกด้วยตัวเธอเองทั้งหมด”
     
       ทักษิณได้แต่เรียกร้องหาโอกาสให้ตนเอง แต่ไม่ได้ให้โอกาสน้องสาวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย !
     
       แต่ทางน้องสาวก็ใช่ย่อย เพราะยังไม่ทันที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา งานเร่งด่วนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับเป็นการขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้พี่ชาย “นายใหญ่ทักษิณ” เข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษ ยังไม่รวมถึงความพยายามคืน “พาสปอร์ตแดง” หรือพาสปอร์ตสำหรับนักการทูต และข้าราชการการเมือง เพื่อเดินทางไปราชการต่างประเทศ ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” และการ “อวย” ตำแหน่งใหญ่ “ทูตการค้า” ก่อนจะพลิกกลับมาเป็น “ซีอีโอการค้า” บินว่อนโลก เข้าออกประเทศต่างๆ โดยอิสระ เหล่านี้เป็นผลงานชิ้น “โบแดง” ชิ้นแรก และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาล ป.1 ลงมือทำทันที!
     
       ถึงแม้งานนี้ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์บอกว่า ไม่คิดจะคืนพาสปอร์ตแดงให้พี่ชาย แต่ก็ให้ไปดำเนินการให้ “ถูกต้อง ตามหลักนิติธรรม” พูดอย่างนี้จะให้หมายความเป็นอื่นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เปิด “ทางโล่ง” แม้ท่านนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยจะจีบปากจีบคอบอกว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีนโยบาย” นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คงคิดว่าคนไทยกินหญ้า จึงได้พูดออกมาเยี่ยงนี้
     
       แต่เอาเถอะ ยังไงก็อวยพรให้เธอเอาตัวรอดจากการเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าวในแต่ละวันที่ รุมตั้งคำถามในสิ่งที่เธอไม่อาจควบคุมได้ และไม่รู้จะตอบว่ายังไง “เอ่อ... ก็...ท่านก็เป็นอดีตนายกฯ นะคะ แล้วก็ในส่วนของอื่นๆ ก็ว่ากันไปตามขั้นตอนกฎหมาย เอ่อ...” พอตอบไม่ได้ก็เดินแหวกวงล้อมนักข่าวเข้าลิฟต์ไปทันที ปล่อยให้นักข่าวยืนงงกับคำถามที่ถามยังไม่จบ ก็ขอให้ “นารี” เอาตัวรอดให้ได้อย่างนี้ไปวันๆ อย่า เพิ่งตก “ม้าขาว” ไปก่อนก็แล้วกัน (นะจ๊ะ)
     
       อย่างไรก็ตาม หากความหน่อมแน้มของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นเพราะเธออยู่วงนอก ไม่เคยรับรู้เรื่องราวมาก่อนก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าร่วมวงสุมหัววางแผนกัน แล้วมาปฏิเสธ “พลิกลิ้น” เอาตัวรอด มันก็ยากที่จะให้อภัย ใช่ไหม, อย่างคำประกาศที่ว่า “จะบริหารประเทศเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง” แล้วตอนนี้ หลังจากที่เข้ามาบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาของชาติเพียงแค่ 7 วัน “แม้ว” ที่ไหนได้ประโยชน์ไปแบบเต็มๆ “เนื้อๆ” แต่เพียงผู้เดียว ถ้าไม่ใช่พี่ชายที่แสนดีของเธอที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
     
       โดยล่าสุด ได้ยินว่า “ผีกระหัง” กำลังจะเข้ามาดูดพลังงานในอ่าวไทย!
     
       โดยเป็นอะไรที่สอดคล้องต้องกันแบบ “พอดิบพอดี” กับกรณีของ “พิชัย นริพทะพันธุ์” เพราะทันทีที่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน “พิชัย” ก็ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า นโยบายระยะสั้นที่สำคัญที่คิดว่าจะต้องเร่งดำเนินการ คือ การเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน ทางทะเลไทย-กัมพูชา บริเวณอ่าวไทยในรูปแบบรัฐต่อรัฐ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งปิโตรเลียมที่สำคัญ มีการสำรวจพบว่ามีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองที่สามารถใช้ได้อีก 30-40 ปี หากไทยและกัมพูชา สามารถเจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณอ่าวไทยร่วมกันสำเร็จ ประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนของทั้งสองประเทศ
     
       "เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม ไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ แอบแฝง เพราะการร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เป็นการลงทุนในลักษณะรัฐต่อรัฐ ในลักษณะเดียวกับโครงการพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย หรือเจดีเอ
     
       “หากสามารถเจรจาสำเร็จ ผู้ที่จะเข้าไปลงทุนร่วมกับกัมพูชา คือ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผมให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก และคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นวาระแห่งชาติ" รมว.พลังงาน กล่าว
     
       เช่นเดียวกับ “เสี่ยปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ที่กล่าวถึงกรณีนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา มีจดหมายเชิญไปเยือน ว่า ก็พร้อมจะไปเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี และเห็นว่าทั้งไทยและกัมพูชาควรเร่งแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน โดยเฉพาะการเจรจาใช้ประโยชน์ร่วมกันทางทะเล
     
       จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าฝั่งกัมพูชามีน้ำมันมาก ส่วนฝั่งไทยมีก๊าซเป็นส่วนใหญ่ และตามข้อตกลงถ้าใกล้ฝั่งไหน ก็จะมีสัดส่วนในการได้รับผลตอบแทน เช่น ใกล้ฝั่งกัมพูชา ก็ให้แบ่งเป็นของกัมพูชา 80:20, ใกล้ฝั่งไทยไทยจะได้ 80:20 ถ้าอยู่พื้นที่ตรงกลางคาบเกี่ยวสองฝั่งจะได้ 50:50 ทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ เมื่อได้เข้าไปทำงานในกระทรวงอย่างเป็นทางการ จะเข้าไปดูว่ามีการลากเส้นแบ่งทางทะเลอย่างไร
     
       "ต้องคุยกันให้รู้เรื่องทั้งไทยและกัมพูชา แบ่งประโยชน์ร่วมกัน ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ และต้องเป็นไปแบบแฟรงค์ๆ (ตรงไปตรงมา) และวันนี้เราต้องการพลังงาน อีกทั้งที่ผ่านมาบริษัท เชฟรอนฯ ได้เข้ามาเอาพลังงานบริเวณนี้แล้ว อยากถามเหมือนกันว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไม่เข้ามาดูแลเรื่องนี้" เสี่ยปึ้ง-รมว.การต่างประเทศหมาดๆ ให้ความเห็น
     
       ทั้งนี้ โครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นโครงการที่ถูกจับตามองมาตลอดเพราะมีผลประโยชน์มหาศาลถึง 5 ล้านล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ผ่านการทำ MOU 44 สมัยรัฐบาลไทยรักไทย ซึ่งจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่มาโดนทำรัฐประหารเสียก่อน
     
       โดยโครงการดังกล่าว ซึ่งกินพื้นที่ 27,960 ตารางกิโลเมตร ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก ประเมินว่าพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2 พันล้านบาร์เรล และมีปริมาณก๊าซสำรองอีกกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และมีการให้สัมปทานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของโลกหลายแห่ง เช่น เชฟรอน, บริษัทแก๊สมิตซุย, ยูโนแคล, บริติชแก๊ส ไปสำรวจกันแล้ว แต่การสำรวจขุดเจาะดังกล่าวต้องชะงักไม่สามารถทำได้ เพราะไทยกับกัมพูชาจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน
     
       โดยก่อนหน้านี้ พลเอกเตีย บัณห์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เปิดเผยข้อมูลว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้ฐานที่เกาะกงเพื่อทำธุรกิจพลังานดังกล่าว ที่เกาะกงเพื่อทำธุรกิจพลังานดังกล่าว ผ่านบริษัท เพิร์ล ออยล์ ที่มีผู้ถือหุ้นคือ กลุ่มเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ ซึ่งซื้อหุ้นชินคอร์ป 73,000 ล้านจากตระกูล "ชินวัตร"
     
       นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายทักษิณ กล่าวถึงกรณีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน จะเดินหน้าเจรจาการใช้แหล่งพลังงานร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลว่า หากประชาชนอยากได้ใช้ก๊าซธรรมชาติก็ควรเจรจากัน เรื่องนี้งุบงิบกันไม่ได้ มีกองทัพ-กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมเจรจาด้วยกันอยู่แล้ว ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณ เลย
     
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยังเป็นปัญหา ว่า ต้องมองเป็น 2 ส่วน ในส่วนของกรณีข้อพิพาทเป็นประเด็นที่ต้องใช้การหารือ และวิธีทางการเจรจาทางการทูต โดยรัฐบาลต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศชาติ และไม่ให้เสียอธิปไตยของประเทศชาติ ส่วนเรื่องของการค้าขาย ก็ขอให้เกิดการค้าขายตามแนวชายแดนตามปกติ
     
       อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า การดึงแหล่งก๊าซและน้ำมันในอ่าวไทยจำนวนมหาศาลขึ้นมาใช้กำลังจะถูกผลักดัน ให้เดินหน้าโดยเร็ว หลังจากเกิดปัญหาติดขัดมาตั้งแต่รัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549
     
       และน่าสนใจว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิดเผยว่า “ทักษิณ” เตรียมตัวเดินทางเข้าประเทศกัมพูชา ซึ่งแม้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะรีบออกตัวแทนพี่ชายว่า การเดินทางไปกัมพูชาของทักษิณเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใครจะเชื่อว่า “ประเด็น” ที่ทักษิณจะคุยกับฝ่ายกัมพูชาครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของก๊าซและน้ำมันที่ฝังอยู่ใต้ผืนทะเลอ่าวไทย ซึ่งบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานทุกค่ายในโลกกำลังจ้องกันตาเป็นมัน เพราะ “อ่าวไทย” คือขุมพลังงานที่ยิ่งใหญ่ มีมูลค่า 5ล้านล้านบาท !!
     
       ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ถูกจับตามอง เพราะที่ผ่านมาความเคลื่อนไหวของ ทักษิณมักคาบเกี่ยวในเรื่องใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เสมอ ซึ่งในคราวนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่ว่าเป็นการกระทำผ่านตัวแทน หรือ “หุ่นเชิด” ที่เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่แต่งตั้งจาก “คนใกล้ชิด” ประเภทเรียกง่ายใช้คล่องให้มาดำรงตำแหน่งในกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงกลาโหม เป็นต้น
     
       อย่างไรก็ตาม หากใครติดความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” มาตั้งแต่ต้น ก็จะรู้ดีว่า ธุรกิจพลังงานคือ “ธุรกิจในฝัน” ของเขา เพราะเมื่อครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 นับแสนล้านบาท ส่วนหนึ่งก็เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจ “พลังงาน” นี่แหละ อีกทั้งยังมีรายงานข่าวว่า มีการเจรจาร่วมธุรกิจกับผู้นำกัมพูชาโดยเฉพาะการลงทุนสำรวจแหล่งพลังงานที่ คาดว่ามีอยู่จำนวนมหาศาลในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณอ่าวไทย แต่ก็ต้องมาสะดุดหยุดลงเมื่อรัฐบาลทักษิณถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549
     
       ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามสานต่อ แต่ก็ทำได้ในช่วงสั้นๆ ในยุครัฐบาล “หุ่นเชิด” ทั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เพราะอายุของรัฐบาลดังกล่าวอยู่ได้ไม่กี่เดือน
     
       มาคราวนี้ เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ส่งให้น้องสาว “ยิ่งลักษณ์” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ” ก็เริ่มมีความหวัง และส่อแววว่าฝันนั้นจะเป็นจริงเสียด้วย เพราะในช่วงเวลานี้ทางฝ่ายรัฐบาลกัมพูชามีท่าทีที่เปลี่ยนไป “ฮุนเซน” เพื่อนซี้ยินดีอ้าแขนรับตลอดเวลา
     
       นอกจากนี้พวกเขายังมี "สัญญาใจ" ต่อกันว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งจะเดินทางไปเยือนกัมพูชาเพื่อ กระชับสัมพันธ์ และสานต่องานที่คั่งค้างให้เสร็จ
     
       โดยประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็คือเรื่อง "พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา” ที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 2.6 หมื่นตร.กม. ทั้งนี้ ธนาคารโลกประเมินว่า แหล่งพลังงานในกัมพูชาน่าจะมีน้ำมันถึง 2 พันล้านบาร์เรล ก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต โดยจะสร้างรายได้ให้กัมพูชาไม่น้อยกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี (เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์)
     
       ส่วนพื้นที่ที่น่าจะมีก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันมากที่สุด ก็คือ "พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล" กับไทย! และน่าสนใจว่า การทำบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ หรือ "เอ็มโอยู" ปี พ.ศ.2544 เพื่อทำข้อตกลงเรื่องการอ้างสิทธิ์ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ก็เกิดขึ้นในสมัยทักษิณนั่นเอง โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ณ กรุงพนมเปญ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศของไทย (ในขณะนั้น) กับ นายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา ลงนามจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา โดยมีแบ่งพื้นที่การเจรจาออกเป็น 2 ส่วน
     
       ส่วนแรก พื้นที่ทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป ซึ่งไม่มีข้อขัดแย้งกันให้แบ่งเขตทางทะเลอย่างชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ
     
       ส่วนที่สอง พื้นที่ทับซ้อนใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือลงมา ให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกัน (Joint Development Area-JDA)
     
       หลังจากนั้นจึงมีการจัดการประชุมเพื่อ "แบ่งเส้นเขตแดน" และ "แบ่งสัดส่วนผลประโยชน์" ในพื้นที่ทับซ้อนเรื่อยมา โดยการเจรจาครั้งสุดท้ายในสมัยที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549
     
       แต่ผลการเจรจากลับ "ไม่ได้ข้อยุติ" โดยที่เห็นพ้องกัน คือ จะมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้จากการขุดเจาะก๊าซและน้ำมัน ในสัดส่วน 50-50ทว่า พื้นที่ด้านซ้ายและด้านขวาของพื้นที่ทับซ้อน กัมพูชาเสนอให้แบ่งผลประโยชน์ในสัดส่วน 90-10 แต่ไทยเห็นควรแบ่งในสัดส่วน 60-40 และการเจรจาได้หยุดลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อรัฐบาลทักษิณ ถูกรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549
     
       ต่อมา ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ข้อตกลงดังกล่าวกลับถอยหลังเข้าไปอีก เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ “ยกเลิกเอ็มโอยูปี 44" หลังจากรัฐบาลกัมพูชาประกาศแต่งตั้งทักษิณเป็น "ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ"
     
       ดังนั้น การเดินทางเยือนกัมพูชาในห้วงเวลาที่ "อำนาจรัฐ" กลับมาเป็นของ “ทักษิณ” ผ่านทาง “ยิ่งลักษณ์” โดยมี “พิชัย” รมว.พลังงาน ออกมาประกาศว่าจะยกวาระเรื่อง "ปิโตรเคมี" ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เป็น "วาระแห่งชาติ" มันก็เป็นอะไรที่ “สอดรับ” กันพอดิบพอดี!
     
       เมื่อ รมว.พลังงาน ยืนยันว่าจะหยิบยกเรื่อง “พลังงานในพื้นที่ทับซ้อน” ซึ่งเป็นนโยบายเก่าของรัฐบาลทักษิณขึ้นมา “ปัดฝุ่น” มันจึงไม่แปลกที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาจะสงสัย และให้ความสนใจเป็นพิเศษ
     
       อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นเรื่อง "ขุมทรัพย์พลังงาน" ในอ่าวไทยแล้ว ยังมีข่าวว่า ทักษิณและผู้นำเขมร จะมีการพูดคุยถึงเรื่องการให้ความช่วยเหลือ 2คนไทย คือ “วีระ สมความคิด” กับ “ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์” ที่ยังคงติดคุกอยู่ในเรือนจำเพรย์ซอว์ด้วย ก่อนที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางไปประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ครั้งที่ 8 ที่ประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ และคิวต่อไปก็จะเป็น “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่ว่ากันว่าจะไปเยือนกัมพูชาเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ และกระชับความสัมพันธ์ให้ “ดูดดื่ม” ยิ่งขึ้น
     
       การที่ทักษิณ “เปิดเกม” เร็วอย่างนี้ ทั้งที่น่าจะรอโอกาส และรอจังหวะอีกสักพักหนึ่งก่อน อาจเป็นเพราะ “ความมั่นใจ” ที่เกิดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเห็นว่าตัวเองได้กลับมากุมสภาพได้ทุกอย่างแล้ว ทั้งอำนาจรัฐที่ควบคุมผ่านตัวแทน “หุ่นเชิด” ทั้งนายกฯ และรัฐมนตรีทั้งหลาย อีกทั้งการเลือกตั้งเที่ยวนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นว่า “พรรคเพื่อไทย” ที่ทักษิณเป็นเจ้าของนั้นได้รับความสนับสนุนจากชาวบ้านจนถล่มทลาย ทำให้ไม่มีอะไรต้องกังวล
     
       อีกทั้งเชื่อว่าการเดินทางเข้ากัมพูชาคราวนี้จะได้โชว์ผลงานสร้างภาพ “ฮีโร่” โดยการเจรจาขอให้ปล่อยตัว “วีระ-ราตรี” ที่ถูกคุมขังออกมา ดังนั้น เชื่อว่าเป้าหมายหลักของ “ทักษิณ” ก็คือการเข้ามาเจรจาเพื่อสานต่อ “ธุรกิจพลังงาน” ในอ่าวไทย ขณะเดียวกันก็จะได้เป็น “วีรบุรุษ” ผู้มาช่วยเหลือ 2 นักโทษไทย และช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้กลับคืนมาสู่ความสงบสุขอีก ครั้งหนึ่ง
     
       “แหล่ม” ไหมล่ะ “ท่านทักษิณ” !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง