(สารส้ม)
ข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554 01:50:02 น.
วันนี้ ข่าวใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ
คงหนีไม่พ้นประเด็นสืบเนื่องจากคำพิพากษาของศาลโลก
กรณีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้ไปยื่นฟ้องเอาไว้1) เบื้องต้น รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นใหญ่ๆ ที่ศาลโลกวินิจฉัยออกมาแล้ว คือ ให้ทั้งสองประเทศถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และไม่ให้ไทยขัดขวางการเข้าไปยังตัวปราสาทของฝ่ายกัมพูชา
การที่ศาลมีมาตรการชั่วคราวออกมาเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นที่สมประโยชน์ของฝ่ายเขมรเต็มร้อย เพราะเขาต้องการให้ไทยถอนทหารฝ่ายเดียว อ้างว่าพื้นที่รอบปราสาทเป็นเขตอธิปไตยของเขมรตามคำพิพากษา พ.ศ.2505
ในทางตรงกันข้าม เมื่อศาลโลกให้เขมรถอนกำลังทหารของเขาออกไปด้วย (หลังจากที่มีการขนทหารเข้าไปอยู่ในพื้นที่รอบปราสาท และแม้แต่ในตัวปราสาท) ทั้งๆ ที่ หากมองในมุมเขมร ซึ่งเขาถือว่าตนมีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารร้อยเปอร์เซ็นต์ จะวางกำลังทหารไว้ที่ไหนก็น่าจะกระทำได้เต็มที่ แต่เมื่อศาลโลกว่ามาอย่างนี้ ฮุนเซนก็คงต้องกลืนเลือด หรือหาทางโกหกคนเขมรอีกขนานใหญ่ เพื่อรักษาเหลี่ยมคู และคะแนนนิยมทางการเมือง
ในมุมมองของไทย หากให้ความเป็นธรรมต่อคณะทำงานที่ไปต่อสู้คดี ย่อมจะเห็นว่า มาตรการคุ้มครองที่ออกมานั้น เป็นแนวทางที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะคาดหวังได้จากการไปต่อสู้คดีใน ครั้งนี้ เพราะถ้าใครคาดหวังว่าศาลโลกจะสั่งให้เขมรถอนทหาร ถอนชุมชน ถอนวัด ฯลฯ ออกมาจากพื้นที่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่ เรื่องนี้ ฝ่ายเขมรเป็นฝ่ายไปฟ้องคดี ก็คงจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
2) คุณสุทิน วรรณบวร นักเลงข่าวสายการเมืองการต่างประเทศรุ่นเก๋าของเมืองไทย ออกปาก "เตือน" กึ่งๆ "ดักคอ" ไว้ในเฟซบุ๊คอย่างแยบคาย บางตอนว่า
"ศาลโลกมีคำสั่งให้ไทย-เขมร ทำให้บริเวณประมาณ 2 ตาราง กม รอบปราสาท หมายถึงกินพื้นที่ลงมาแค่ปลายสุดบันไดนาค เป็นคนละพื้นที่กับ 4.6 ตร กม ครับ ทหารไทยไม่จำเป็นต้องถอนออกจากจุดนั้น และไทยสามารถทำอะไรก็ได้เพราะอธิปไตยของไทยครับ... คนไทยทุกคนเป็นหนี้บุญคุณต่อทีม กม ไทยที่ทำให้ศาลไม่รับคำร้องของเขมรที่ให้ไทยถอนออกจากพื้นที่ 4.6 แต่กลับไปกำหนดอานาเขตแค่ประมาณ 2 ตร กม แต่ถ้ารัฐบาลที่เป็นทาสเขมรที่จะมาถึงไปตีความเอาว่าศาลสั่งให้ ทั้งสองประเทศถอนออกจาก บริเวณ 4,6 ตร กม อันนั้นประสาทครับ ไม่ใช่ปราสาท"
3) ไม่ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร คนไทยเราต้องตั้งสติ
ต้องจำไว้อย่างว่า การแก้ปัญหา การต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองส่วนรวม ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่ายุคใดสมัยใดถ้าเราเลือกที่จะสู้ เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่อไป อย่าท้อถอย
แต่ถ้าเราไม่สู้ ไม่อยากมีปัญหากับเขมร เราก็เพียงทำตามแนวทางที่รัฐบาลหุ่นเชิดทักษิณเคยกระทำไว้ นั่นคือ ยินยอมพร้อมใจให้เขมรดำเนินการเรื่องปราสาทพระวิหารไปฝ่ายเดียว ตามความต้องการของฮุนเซน แถมพ่วงด้วยผลกระทบเรื่องเขตแดนบนแผ่นดินและเขตแดนทางทะเล
ถามใจของคนไทยทุกดวงว่า ยอมหรือไม่? เมื่อไม่ยอม ก็ป่วยการที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง
ตรงกันข้าม ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะใช้วิกฤตินี้
เป็นเบ้าหลอมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยผู้มีสำนึกรักชาติ
รักแผ่นดิน ละวางผลประโยชน์ส่วนตัว
หันหน้าเข้ามาช่วยกันต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม
โดยไม่แบ่งสีแบ่งพวกใครเอนเอียงเข้าข้างผลประโยชน์ของเขมร โดยอคติ หรือโดยการมีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงอยู่กับนักการเมืองเขมร หวังให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เพื่อว่าพวกของตนจะได้ผลประโยชน์จากการไปทำข้อตกลงกับฝ่ายเขมร มันถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทั้งประเทศจะ "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน"
ลำพังนักการเมืองเขมร ถ้าเขาจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ชาติเขมร ก็ยังเป็นเรื่องที่น่ายกย่องในความรักชาติ รักบ้านรักเมืองของเขา
แต่ถ้าตัวเป็นคนไทย เกิดบนแผ่นดินไทย ร่ำรวยด้วยทรัพยากรของชาติไทย แต่กลับอกตัญญูแผ่นดินไทย ร่วมสมคบคิด แอบจับมือกับเขมร แสวงหาผลประโยชน์บนความพ่ายแพ้ของชาติไทย มันผู้นั้นนับว่าเป็นคนเนรคุณแผ่นดินอย่างหาที่เปรียบมิได้
4) การต่อสู้ของประเทศไทยบนเส้นทางข้างหน้า จำเป็นที่คนไทยจะต้องรู้ทันฝ่ายที่ต้องการฉกฉวยผลประโยชน์บนความเสีย เปรียบของประเทศไทย
ใครหนอ... อาศัยอำนาจของ "รัฐบาลหุ่นเชิด" ออกแถลงการณ์ร่วม 2551 ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายเดียว
ทำไมหนอ... ฮุนเซนจึงเลือกจับมือทักษิณ วางตัวเป็นศัตรูกับรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างเปิดเผย ถึงขนาดเดินทางเข้ามาด่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ในดินแดนไทย ระหว่างการประชุมอาเซียนที่หัวหิน แถมยังให้ที่พักพิงซ่องสุมแกนนำเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ ที่ปฏิบัติการล้มล้างรัฐบาลอภิสิทธิ์
ทำไมหนอ... พรรคการเมืองของทักษิณและเสื้อแดงในไทย จึงไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ฮุนเซนหรือกัมพูชา กรณีทหารกัมพูชาปฏิบัติการรุนแรงต่อประเทศไทยเลย ตรงกันข้าม ทักษิณกลับให้สัมภาษณ์ใส่ร้ายประเทศไทยว่าเป็นฝ่ายรังแกโจมตีประเทศ เพื่อนบ้าน
ทำไมหนอ... นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศย้ำอยู่เสมอว่า "ไทยไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000" และยืนยันว่าการที่ฝ่ายกัมพูชายอมทำข้อตกลง MOU 2543 ก็เป็นการยอมรับอยู่ในตัวเองว่า เขตแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่มีข้อยุติถึงที่สุดตามแผนที่ฉบับใดๆ ทั้งสิ้น จึงต้องให้มีคณะกรรมการดำเนินการปักปันเขตแดนร่วมกัน เป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจ สะท้อนชัดว่าเป้าหมายแท้จริงที่ฮุนเซนต้องการ คือ การอ้างแผนที่ 1:200,000 อันจะทำให้กัมพูชาได้ "กินแดน" ลึกเข้ามาในฝั่งไทย ทั้งทางบกและทางทะเลอีกมหาศาล
ทำไมหนอ... เว็บไซต์ "วิกิลีกส์" ผู้ได้ชื่อว่าเป็นจอมแฉ เปิดโปงถึงการจัดสรรผลประโยชน์ทางพลังงานในท้องทะเลชายแดน ไทย-กัมพูชา และเอ่ยถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของทักษิณกับฮุนเซนเอาไว้ด้วย
ใช่หรือไม่ว่า เราคนไทย ประเทศไทย กำลังต้องต่อสู้กับผลประโยชน์ส่วนตัวของ "ฮุนเซน-ทักษิณ"?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น